วานนี้ (7มิ.ย.2560) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงกลาโหม ระบุว่า ได้โทรศัพท์ปรับความเข้าใจ กับ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาแล้ว
ภายหลัง สำนักวิเทศสัมพันธ์กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ส่งหนังสือถึงสำนักงานผู้ช่วยทูตทหาร ไทยประจำกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งมีเนื้อหา ปฏิเสธรายงานข่าวที่ปรากฎในสื่อไทย เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.นี้ พล.อ.เตีย บันห์ เกี่ยวข้องกับคดีลักลอบค้าอาวุธที่ตรวจพบในจ.ตราด
โดยพล.อ.ประวิตร ระบุว่า พล.อ.เตีย บันห์ ไม่ได้ติดใจเอาความ เพียงต้องการให้สื่อมวลชนแสดงความรับผิดชอบ และขอโทษอย่างป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชา พร้อมขอให้ระมัดระวังการนำเสนอข่าว หากยังไม่ได้พิสูจน์หรือสอบสวนอย่างเป็นทางการ และปัญหานี้ เชื่อว่า จะไม่กระทบกับความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ
รองผบ.ตร.สั่งขยายผลคดีค้าอาวุธสงคราม
ด้านพล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้นำอาวุธที่จับกุมได้ขณะพ.อ.อ.ภคิน เดชพงษ์ ทหารสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในกรุงเทพฯ ลักลอบขนจากจ.ตราด ไปส่งยังชนกลุ่มน้อยในประเทศเพื่อนบ้านไปตรวจสอบที่กรุงเทพมหานคร
มีรายงานว่าหลังตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา 3 คนที่ถูกจับกุม พบว่า อาจมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นคนไทยในจ.ตราด อีก 3 คน
พล.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ สั่งให้ขยายผลไปถึงต้นทางและปลายทาง โดยเฉพาะคดีการส่งอาวุธทางไปรษณีย์ ที่มีทหารยศ สิบโทเป็นผู้ส่ง ขณะนี้ตำรวจยังไม่ได้รับการประสานส่งตัว
ส่วนการลักลอบค้าอาวุธ ที่จับกุมได้ในพื้นที่จังหวัดตราด ซึ่งมีการเสนอข่าวว่า มีรถยนต์ 1 คันที่เกี่ยวข้อง เป็นของผู้บริหารระดับสูงของกัมพูชานั้น ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง
ขณะที่ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระบุว่า จากการตรวจสอบการเดินทางเข้าและออกของผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่พบการเข้า-ออก ของ พ.อ.อ. ภคิน
ขณะที่ผู้ต้องหาอีกคน เข้าออก 11 ครั้ง ส่วนชาวกัมพูชาอีก 1 คน เข้าออกถึง 231 ครั้ง โดยเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพียงบุคคล ส่วนสิ่งของหรือสัมภาระ เป็นหน้าที่ของกรมศุลกากร