การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ฟุตซอลสโมสรชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศเวียดนาม เป็นการพบกันของ พีทีที บลูเวฟ ชลบุรี ตัวแทนจากประเทศไทย อดีตแชมป์ 1 สมัย เมื่อปี 2013 พบกับ กิติ ปาซานด์ ยอดทีมจากอิหร่าน อดีตแชมป์ 1 สมัย เมื่อปี 2012
ครึ่งแรก ทั้ง 2 ทีมสู้กันได้อย่างสูสีจนถึงนาทีที่ 13 ชลบุรี ได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะลอยตัวยิงระยะแค่ 1 หลา ของศุภวุฒิ เถื่อนกลาง หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีกิติ ปาซานด์ ทำฟาล์วครบ 5 ครั้ง เสียจุดโทษและเป็นศุภวุฒิ คนเดิม ยิงเข้าไปไม่พลาดให้บลูเวฟ ชลบุรี ออกนำก่อน 2-0
เข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง กิติ ปาซานด์ เปิดเกมรุกกดดัน จนได้ 2 ประตูไล่ตีเสมอ ในช่วงเวลาแค่นาทีเดียวจาก อาเหม็ด อิสมาเอลปู และอาลี นาฟลี่ แม้จะถูกตีเสมอแต่ชลบุรี ยังไม่เสียสมาธิ ก่อนจะทำประตูขึ้นนำอีกครั้ง จากศุภวุฒิ เถื่อนกลางและเป็นการทำแฮตทริคของเจ้าตัวในเกมนี้ ช่วงท้ายตัวแทนจากอิหร่าน พยายามเล่นพาวเวอร์เพลย์ เพื่อตามตีเสมอ แต่ทำไม่สำเร็จ จบเกม บลูเวฟ ชลบุรี ชนะ กิติ ปาซานด์ 3-2 คว้าแชมป์สมัยที่ 2 มาครองอย่างยิ่งใหญ่
ด้านจิราวัฒน์ สอนวิเชียร ที่ยิงในทัวร์นาเมนท์นี้ไป 9 ประตู คว้ารางวัลดาวซัลโวมาครองเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ส่วน ศุภวุฒิ เถื่อนกลางที่ยิงเพิ่มอีก 3 ลูกในนัดชิงทำให้เขากลายเป็นเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดในเกมชิงแชมป์สโมสรเอเชียโดยทำไปแล้ว 37 ประตู แซงหน้า วาฮิด ซามซาอี ตำนานนักฟุตซอลชาวอิหร่านที่เคยทำไว้ได้ 35 ประตูลงได้สำเร็จซึ่งปัจจุบัน ซามซาอี แขวนสตั๊ดไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนการแข่งขันอีกคู่ ไท ซอง นัม จากเวียดนาม ที่มี มิเกล โรดริโก้ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย คุมทีม โชว์ฟอร์มเยี่ยม ชนะ อัล รายยาน ตัวแทนจากประเทศ กาตาร์ ขาดลอย 6-1 คว้าอันดับ 3 ของการแข่งขันมาครอง