อาเหม็ด อาบู เอล เกอิต เลขาธิการสันนิบาตอาหรับ ซึ่งเป็นองค์การในระดับภูมิภาคของกลุ่มประเทศอาหรับ เตือนว่า การตัดสินใจของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในการใช้มาตรการใดๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสถานะทางกฎหมายและการเมืองของนครเยรูซาเล็ม จะส่งผลเสียอย่างรุนแรง
ขณะที่สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาลแห่งซาอุดิอาระเบีย ทรงแสดงความหวังในระหว่างหารือกับคอนโดลีซซา ไรซ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ว่า ซาอุดิอาระเบียจะไม่ยอมรับว่านครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และทรงเตือนว่าการตัดสินใจจะทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง
ด้านไฮเดอร์ อัล-อะบาดี นายกรัฐมนตรีอิรัก เตือนว่า การตัดสินใจของทรัมป์จะส่งผลกระทบทางลบต่อความมั่นคงในภูมิภาค และยังเป็นการลำเอียงต่อสิทธิของปาเลสไตน์ โลกอาหรับ มุสลิม และศาสนาอื่นๆ
ท่าทีต่อต้านของโลกอาหรับมีขึ้นหลังจากผู้นำสหรัฐฯ โทรศัพท์แจ้งกับประธานาธิบดีปาเลสไตน์และผู้นำอีกหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ว่าตั้งใจจะย้ายสถานทูตสหรัฐอเมริกาจากกรุงเทล อาวีฟ ของอิสราเอล ไปยังนครเยรูซาเล็ม
แม้ว่าก่อนหน้านี้จาเรด คุชเนอร์ ที่ปรึกษาและบุตรเขยของทรัมป์เพิ่งจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทรัมป์ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะรับรองนครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลอย่างเป็นทางการหรือไม่
การตัดสินใจของทรัมป์ถือเป็นการพลิกนโยบายของสหรัฐฯ ที่ดำเนินมาหลายสิบปีในการไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อสถานะของนครเยรูซาเล็ม และปล่อยให้เป็นการเจรจาและตัดสินใจระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์เอง ขณะที่ปฏิกิริยาจากทั่วโลกก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับโลกอาหรับ
โฆษกองค์การสหประชาชาติ ระบุว่า อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เตือนว่า การตัดสินใจของทรัมป์เป็นการดำเนินการเพียงฝ่ายเดียวและอาจส่งผลกระทบต่อการแก้ปัญหาของทั้ง 2 รัฐ ซึ่งหมายถึงอิสราเอลและปาเลสไตน์ ที่ต่อสู้กันมายาวนานเพื่อแย่งชิงดินแดนนครเยรูซาเล็ม ซึ่งปัญหานี้ควรจะแก้ไขผ่านการเจรจาทั้ง 2 ฝ่าย โดยยึดมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเป็นหลัก
ขณะที่สหภาพยุโรปเตือนสหรัฐฯ ว่าการกระทำใดๆ ที่จะทำลายความสงบระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
ด้านประธานาธิบดีตุรกี ประกาศว่า จะตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล หากสหรัฐฯ ยอมรับว่านครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
ส่วนแถลงการณ์จากทำเนียบประธานาธิบดีปาเลสไตน์ ระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ ได้แจ้งให้ประธานาธิบดีมาห์มูด อัลบาส แห่งปาเลสไตน์ ทราบแล้วว่าทรัมป์ตั้งใจจะย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทล อาวีฟของอิสราเอล ไปยังนครเยรูซาเล็ม แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดที่แน่ชัดใดๆ
ปัญหาสถานะของนครเยรูซาเล็ม นับเป็นหัวใจของความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งมีชาติอาหรับและชาติมุสลิมอื่นๆ คอยหนุนหลังอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ในเยรูซาเล็มฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศาสนาสำคัญๆ ในโลก