วันนี้ (9 มี.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีการจับกุมรถบรรทุกน้ำมันที่ด่านศุลกากรหนองคาย เมื่อวานนี้ (8 มี.ค.) ที่แจ้งว่าส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง 245,000 ลิตร แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่ามีน้ำมันเพียง 46,000 ลิตรเท่านั้น และในใบแจ้งออกระบุว่าเป็นน้ำมันเบนซินมากกว่าดีเซล เพื่อหวังผลรับเงินภาษีคืนจากกรมสรรพสามิต ทำให้วันนี้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดตรวจรถบรรทุกน้ำมัน ที่เตรียมส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น
รถบรรทุกน้ำมันจะมีการซีลติดตรงหัวจ่ายและฝาถังจ่าย ตั้งแต่ต้นทางคือ หน้าโรงกลั่น และจะถูกเปิดโดยเจ้าหน้าที่สรรพสามิตและศุลกากรในพื้นที่ปลายทาง แต่ทำไมจึงสามารถเปิดซีลและสามารถถ่ายเทน้ำมันได้ระหว่างทาง มีข้อมูลทางการข่าว พบว่ามีการทำเป็นขบวนการ
โดยเมื่อรถบรรทุกนำน้ำมันออกจากโรงกลั่นในภาคตะวันออกเมื่อมาถึง จ.นครราชสีมา จะมีการพักรถขั้นตอนนี้จะมีผู้นำรถออกไปประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อทำการถ่ายโอนน้ำมัน จากนั้นจึงจะนำรถมาคืนคนขับ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ จ.หนองคาย เพื่อส่งออกน้ำมัน
เมื่อถึงด่านตรวจรับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและสรรพสามิตหนองคายจะสุ่มตรวจ แต่เนื่องจากกำลังเจ้าหน้าที่มีจำกัดไม่สามารถตรวจรถบรรทุกได้ทุกคัน จึงกลายเป็นช่องว่างของขบวนการนี้ ด่านศุลกากรจึงเตรียมปรับแผน ด้วยการบูรณาการกับทุกภาคส่วน เพื่อตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมันอย่างละเอียดทุกคัน
นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย เปิดเผยว่า หลังมีการจับรถบรรทุกน้ำมัน 8 คันที่แจ้งสำแดงเท็จเมื่อปีที่ผ่านมา ทางการไทยและลาวได้ประสานความร่วมมือและเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมัน ทำให้ขบวนการนี้เงียบหายไป กระทั่งเกิดขึ้นล่าสุดเมื่อวานนี้
เบื้องต้น คาดว่าขบวนการลักลอบส่งออกน้ำมันผิดประเภทและแจ้งสำแดงเท็จ น่าจะเป็นกลุ่มใหม่ และจากการข่าวพบว่ามีการถ่ายโอนน้ำมันในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ก่อนจะนำน้ำมันที่เหลือส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้กรมศุลกากรอยู่ระหว่างตรวจสอบเชิงลึกเพื่อเชื่อมโยงไปยังขบวนการลักลอบส่งออกน้ำมันผิดประเภท
เป็นครั้งแรกของปีนี้ที่มีการจับกุมขบวนการสำแดงเท็จน้ำมัน หลังจากเมื่อเดือน ก.ค.ปีที่ผ่านมา มีการตรวจยึดรถบรรทุก 8 คัน ที่กระทำการในลักษณะเดียวกัน แต่ผู้ก่อเหตุเป็นคนละกลุ่ม
การลักลอบนำน้ำมันผิดประเภท และส่งออกไม่ตรงตามใบแจ้งในครั้งนี้ ศุลกากรได้เปรียบเทียบปรับคนขับรถคันละ 50,000 บาท และผู้ประกอบการส่งออก จะต้องถูกปรับตามพระราชบัญญัติสรรพสามิตและภาษีมหาดไทย รวมเป็นเงินกว่า 11 ล้านบาท