วันนี้ (12 มี.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเจ้าอาวาสวัดศรีชุม ต.เมืองเก่า อ.เมืองสุโขทัย ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาทจากกรมศิลปากร กรณีแย่งครอบครองที่ดิน ซึ่งเป็นมณฑปที่ตั้งของพระอจนะ และมีการแสวงหาผลประโยชน์ ด้วยการเก็บเงินค่าเข้าชม
พระครูสังฆรักษ์เกรียงไกร สุภาทโร เจ้าอาวาสวัดศรีชุม ออกมาชี้แจงว่า ได้เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องขับไล่ และ เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ที่ 1 สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย ที่ 2 และ กรมศิลปากร ไม่ได้ต้องการความแตกแยก และทำไปเพื่อให้กรมศิลปากรยกเลิกการล้อมรั้ว เก็บเงินชาวบ้านที่จะเข้าไปกราบสักการะ พระอจนะ
ขณะที่รั้วที่สร้างขึ้นล้อมรอบบริเวณวัดศรีชุม หนึ่งในโบราณสถาน อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ต้องจ่ายเงินค่าเข้าชม 20 บาท จึงจะสามารถเข้าไปสักการะ พระอจนะ พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ภายในมณฑปได้ และแม้จะมีการสร้างสะพานเชื่อมเล็กๆ ให้ชาวบ้านใช้สัญจรเมื่อหลายปีก่อนแต่ภายหลังก็มีการล็อกกุญแจไว้ โดยก่อนหน้านี้ร้องเรียนไปที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุโขทัยและศูนย์ดำรงธรรม แต่ไม่มีความคืบหน้า
ทั้งนี้ชาวสุโขทัยที่ทราบเรื่องการฟ้องร้องแม้จะยอมรับว่า หากไม่มีกรมศิลปากรเข้ามาดูแลและบูรณะ พระอจนะคงไม่สวยงามเช่นวันนี้ แต่การเก็บเงินผู้ที่ต้องการเข้ากราบสักการะ พระอจนะ ก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม
ร.อ. บุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ ผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เปิดเผยว่า ไม่มีความหนักใจ กรณีที่วัดฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหาย โดยได้ส่งคำฟ้องให้นิติกร กรมศิลปากรดำเนินการแล้ว ในความจริงวัดศรีชุมปัจจุบันเป็นวัดศรีชุมใหม่ ได้รับการรับรองสภาพวัด จากสำนักงานพระพุทธศาสนา เมื่อปี 2536 ซึ่งไม่เกี่ยวข้องและเป็นคนละวัดกับวัดศรีชุมในสมัยสุโขทัย
ส่วนการเปิดทางเชื่อมสะพานเข้าไปยังมณฑป พระอจนะ นั้น ทางอุทยานฯ อนุญาตให้ทางวัดเข้ามาทำศาสนกิจได้ เช่น ในคืนวันเพ็ญที่มีการสวดมนต์ช่วงกลางคืน ส่วนนักท่องเที่ยวนั้นขอให้เข้าชมจากทางด้านหน้าของโบราณสถานวัดศรีชุม เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยตามระเบียบของกรมศิลปากร