หากพิจารณาเฉพาะตัวบุคคล มหาธีร์มีภาษีดีกว่า เพราะผลงานในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นานถึง 22 ปี มีส่วนสำคัญในการพัฒนาและวางรากฐานเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี แต่การเลือกตั้งในครั้งนี้ มีปัจจัยมากกว่านั้น เพราะนาจิบเองแม้ว่าจะมีชนักปักหลังข้อหาทุจริตเงินจากกองทุนพัฒนาประเทศ
แต่การใช้นโยบายประชานิยมในกลุ่มเชื้อสายมาเลย์และการใช้กลไกการเลือกตั้ง เช่น การแบ่งเขตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับพรรครัฐบาล สิ่งเหล่านี้ทำให้พรรครัฐบาลได้เปรียบไม่น้อย ดังนั้นโอกาสที่พรรคฝ่ายค้านจะชนะการเลือกตั้งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
มหาธีร์ โมฮัมหมัด ซึ่งในปีนี้จะมีอายุ 93 ปี เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 4 ของมาเลเซีย เคยอยู่ในตำแหน่งนานถึง 22 ปี ถือเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสียในเรื่องการทุจริต แต่ขึ้นชื่อเรื่องการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามและสื่อมวลชน ซึ่งหนึ่งในคนที่ถูกมหาธีร์จัดการ คือ อันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกวางตัวให้เป็นทายาททางการเมืองต่อจากมหาธีร์
แม้ว่ามหาธีร์จะวางมือจากการเมืองไปนานนับสิบปีและเพิ่งหวนกลับสู่แวดวงการเมืองเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ชาวมาเลเซียจำนวนไม่น้อยยังคงให้ความเคารพและนับถือเขาอยู่ ขณะที่นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อายุ 64 ปี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่ปี 2552 ถือว่าเกิดมาในตระกูลชนชั้นผู้นำ เพราะพ่อและปู่ต่างก็เคยเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่จุดบกพร่องของนาจิบมีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่รักษาคำพูด อย่างกรณีที่เคยให้สัญญาว่าจะยกเลิกนโยบาย "ภูมิบุตรา" หรือ "บุตรของแผ่นดิน" ที่ให้สิทธิพิเศษแก่คนเชื้อสายมาเลย์มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน การประมูลงานของรัฐ รวมถึงการทำธุรกิจ ทำให้คนกลุ่มนี้ได้เปรียบคนเชื้อสายจีนและอินเดีย แต่นาจิบก็ไม่เคยยกเลิกนโยบายนี้ อย่างที่ให้สัญญาไว้ และข้อหาที่รุนแรงที่สุด คือ การยักยอกเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว (1MDB) หลายหมื่นล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วในแง่ของตัวบุคคลมหาธีร์ดูมีภาษีดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสามารถในการบริหารประเทศ หรือความซื่อสัตย์ที่ไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริต ซึ่งต่างจากนาจิบอย่างสิ้นเชิง แต่สถานการณ์ตอนนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ชาวมาเลเซีย ไม่สามารถพิจารณาเฉพาะตัวบุคคลได้เพียงอย่างเดียว
เรื่องแรกของปัญหาปากท้องที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของชาวมาเลเซียในเวลานี้ หลายฝ่ายเกรงว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล พวกเขาอาจสูญเสียผลประโยชน์ที่รัฐบาลเคยให้หรือสัญญาว่าจะให้ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ที่มีรายงานข่าวว่า ผู้สมัครจากพรรครัฐบาลสัญญาว่าหากเขตใดลงคะแนนให้พรรครัฐบาล เมื่อชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลจะตอบแทนด้วยการให้งบประมาณกับเขตนั้นๆ
นอกจากนี้ ชาวมาเลเซียจำนวนไม่น้อย มองว่า มหาธีร์ก็เคยเป็นผู้นำของรัฐบาล แม้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนข้างมาอยู่กับฝ่ายค้าน ก็ไม่มั่นใจว่าหากมหาธีร์ชนะการเลือกตั้งจริง จะจัดการกับสมาชิกของพรรครัฐบาลได้เด็ดขาดมากน้อยเพียงใด
มหาธีร์เองเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า นิสัยของคนมาเลเซียโดยทั่วไปเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมาถึงตอนนี้มหาธีร์คงต้องเผื่อใจไว้ว่า พรรครัฐบาลอาจจะชนะการเลือกตั้งและหากเป็นเช่นนั้นจริง มหาธีร์กับฝ่ายค้านจะเดินเกมอย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามไม่น้อยเช่นเดียวกัน