เมื่อวานนี้ (1 ส.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัย กลุ่มธนาคารเกียรตินาคิน-ภัทร เปิดเผยในวงเสวนาเศรษฐกิจดิจิทัล อนาคตเศรษฐกิจไทยว่า จากผลสำรวจผู้จัดการกองทุนในสหรัฐอเมริกากว่า 400 คน ซึ่งดูแลสินทรัพย์มากกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่ประเมินโอกาสเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรอบใหม่ในปี 2563 หรือในอีก 18 เดือนข้างหน้า
โดยวิเคราะห์จากวัฏจักรเศรษฐกิจโลก มักเข้าสู่ภาวะถดถอยทุก 9 ปี ประกอบกับระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น จะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 3 ต่อปี ขณะที่ปัญหาสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐฯ จีน และกลุ่มประเทศยุโรป เป็นปัจจัยซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และยากต่อการประเมินความเสียหาย
หลังสหรัฐฯ เตรียมแผนตอบโต้ทางการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปลายเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งหากรวมมูลค่าการตั้งกำแพงภาษีกับกลุ่มประเทศยุโรป จะกดดันให้มูลค่าการค้าโลกลดลง กระทบการลงทุน และจีดีพีโลก ปัญหานี้น่าจะเริ่มส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 แม้ภาพรวมเศรษฐกิจอาจดูดี แต่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง
นายศุภวุฒิ ยังวิเคราะห์อีกว่า แม้รัฐบาลพยายามผลักดันนโนบายเศรษฐกิจดิจิทัล แต่การดำเนินนโยบายดังกล่าว ต้องมีโครงข่ายที่แข็งแกร่งรองรับ แต่ปัจจุบัน ผู้ประกอบการคลื่นความถี่ในประเทศไทย มีจำนวนน้อยราย และยังแบกภาระต้นทุนโครงข่ายที่อาจแพงที่สุดในโลกด้วย ขณะเดียวกัน ในการประมูลคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิร์ตซ์ ก็ไม่มีผู้เข้าประมูล ล้วนเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างพื้นฐานต่อการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล