วันนี้ (30 ส.ค.2561) นายกิตติ พิทักษ์นิตินันท์ อดีตนายกสภาเภสัชกรรม เปิดเผยว่า มีความกังวลว่าการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ แทน พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 เพื่อให้มีความทันสมัย ที่แม้จะมีการปรับแก้แล้ว แต่ยังซ้ำรอยเดิม โดยเฉพาะในประเด็นที่เปิดให้วิชาชีพอื่นสามารถจ่ายยาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้มาตรฐานการจ่ายยาไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และอาจเกิดความไม่ปลอดภัยกับผู้ป่วย
ทั้งนี้ ตามมาตรฐานสากลได้แบ่งประเภทยาไว้ 3 ประเภท คือยาที่ต้องจ่ายตามใบสั่งยา ยาที่จ่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม และยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งหากต้องการให้ร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ มีความทันสมัย ก็ควรต้องให้เป็นไปตามหลักสากลจริงๆ คือควรหันมาใช้ระบบใบสั่งยามากขึ้นแทนการเปิดให้วิชาชีพอื่นมาจ่ายยาสำหรับผู้ป่วยของตนได้ ยกเว้นกรณีในสถานบริการภาครัฐพื้นที่ห่างไกล หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่มีข้อจำกัดเรื่องบุคลากร กฎหมายก็อนุญาตให้วิชาชีพอื่นสามารถร่วมกันจ่ายยาได้ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพ
นายกิตติ กล่าวว่า ประเด็นที่เปิดให้วิชาชีพอื่นสามารถจ่ายยาได้ เคยถูกคัดค้านไปแล้วเมื่อปี 2557 โดยได้มีการหารือข้อสรุปร่วมกันระหว่างเครือข่ายวิชาชีพเภสัชกรรม องค์การอาหารและยา (อ.ย.) รวมถึงวิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและได้จัดทำร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นฉบับที่มีการปรับแก้ในประเด็นที่มีการคัดค้านเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม การประกาศร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ จาก อ.ย. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม จะเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ถูกนำมาใช้ ซึ่งการที่ อ.ย.ระบุว่าต้องการให้ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับใหม่ ทันสมัยและสอดคล้องตามมาตรฐานสากล แต่สิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นกลับตรงกันข้าม และยิ่งทำให้ร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ วนกลับไปสู่จุดเดิมที่เคยเป็นมา