วันนี้ (12 ก.ย.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงเกษตรของจีน ตรวจพบไข้หวัดหมูแอฟริกันในพื้นที่ 5 มณฑลของประเทศจีน โดยพบครั้งแรกเมื่อเดือน ส.ค. ที่มณฑลเหลียวหนิง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน และเชื้อโรคได้แพร่กระจายลงไปทางตอนใต้ จากการตรวจสอบพบว่ามีการติดเชื้อไกลออกไปถึง 1,000 กิโลเมตร และอาจลามไปสู่ฟาร์มสุกรทั่วประเทศ
ขณะนี้เจ้าหน้าที่จีนเรียกร้องให้เกษตรกรและสัตวแพทย์ ขึ้นทะเบียนหมูที่ติดเชื้อและห้ามการขนย้ายหมูมีชีวิตในหลายมณฑลที่มีรายงานการระบาด ทำให้ยอดขายเนื้อหมูลดลง ขณะที่ราคาเนื้อหมูเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับหมูที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูแอฟริกันจะมีไข้สูงเลือดออกตามผิวหนังและอวัยวะภายใน ทำให้ตายภายใน 2-10 วัน ซึ่งอัตรการตายมีสูงถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ เชื้อดังกล่าวติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงระหว่างสัตว์ อาหาร และการขนย้ายสัตว์ติดเชื้อ โดยขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ทำให้ทางการจีนฆ่าหมูไปแล้วประมาณ 40,000 ตัว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์ยืนยันหวัดหมูไม่ติดคน ไม่พบระบาดในไทย
ขณะที่ น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ระบุว่า ประเทศไทยยังไม่เคยพบการระบาดของเชื้อไข้หวัดหมูหรือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่เกิดในประเทศจีนและบางประเทศในแถบยุโรป และยืนยันว่าโรคนี้เป็นโรคไวรัสที่ระบาดในสุกรเท่านั้น ไม่สามารถติดต่อระหว่างสัตว์และคนได้
ปัจจุบันกรมปศุสัตว์ออกมาตรการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์เฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมสกัดกั้นโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรไม่ให้เข้ามาในประเทศไทย โดยสั่งการให้ปศุสัตว์อำเภอและปศุสัตว์จังหวัด ลงพื้นที่แนะนำให้เกษตรกรดูแลสุกรอย่างเข้มงวด พร้อมสังเกตอาการของโรคที่จะทำให้สัตว์ตายเฉียบพลัน มีไข้สูง ผิวหนังแดง มีจุดเลือดออกหรือรอยช้ำ และป้องกันฝูงสัตว์จากการสัมผัสโรค เน้นระบบจัดการฟาร์มและระบบป้องกันโรค เลี้ยงสัตว์ในคอกและไม่ปล่อยสัตว์ให้หากินตามธรรมชาติ
ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการให้กองสารวัตรและกักกัน เข้มงวดการตรวจค้นและปราบปรามการลักลอบการนำเข้าหมูเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ตามแนวชายแดนและด่านพรมแดนทั้ง 89 ช่องทางใน 25 จังหวัด รวมถึงชะลอการนำเข้าสุกรมีชีวิตและผลิตภัณฑ์สุกรจากจีนและประเทศที่มีการระบาดของโรคเป็นระยะเวลา 90 วัน แต่หากสถานการณ์การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรจากประเทศจีนยังมีความเสี่ยงอยู่ อธิบดีก็มีอำนาจที่จะประกาศชะลอการนำเข้าต่อไปได้อีกครั้ง ควบคู่กับมาตรการป้องกันและกำจัดเชื้อโรคที่ทำอยู่แล้วให้เข้มข้นขึ้น