ตลอดเกือบ 2 สัปดาห์ หลังจากนายปรีดา ลิ้มนนทกุล เครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการ ออกมาร้องเรียนสำนักนายกรัฐมนตรี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อเปิดโปงขบวนการโกงค่าแรงคนพิการทั่วประทศ คาดมูลค่าความเสียหายปีละ 1,500 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2559-2561
แม้จะมีการออกมาชี้แจงจากนายศุภชีพ ดิษเทศ นายยกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย จะไม่พบการร้องเรียนทุจริต และอ้างว่าเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการอาจให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน การโกงหัวคิวค่าแรงงานคนพิการ 1,500 ล้านบาทไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่ปฎิเสธว่ามีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการทุจริตได้
ที่ผ่านมาไม่ใช่เพียงนายปรีดาจะออกมาเดินหน้าร้องการทุจริตฝ่ายเดียว แต่ยังมีการเคลื่อนไหวของเครือข่ายคนพิการทั่วประเทศ เข้ายื่นหนังสือต่อสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะพวกเขากังวลว่าสถานประกอบการจะยกเลิกให้เงินทุนตามมาตรา 35 จ้างเหมาบริการ หรือฝึกอาชีพให้คนพิการ และยังมีการออกมาให้ข้อมูลว่าอีกฝ่ายเสียผลประโยชน์จึงออกมาเล่นคนพิการด้วยกันเอง
ก็ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า "โกงจริงหรือไม่ หรือคนพิการขัดแย้งกันเอง" เพราะมีการออกมาให้ข้อมูลจากเครือข่ายคนพิการอีกกลุ่มว่าการออกมาเปิดโปงมีเงื่อนงำ เชื่ออีกฝ่ายเสียประโยชน์จากการทำโครงการจ้างเหมาบริการมาตรา 35 กับบริษัทเอกชนรายใหญ่
แต่หลังมีการออกมาเปิดเผยข้อมูลไม่นาน ทีมข่าวไทยพีบีเอสกลับได้หลักฐานจากคนพิการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นรายการเดินบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารแห่งหนึ่ง
นางเอ (นามสมมุติ) ผู้ดูแลคนพิการที่ต้องดูแลคนพิการในครอบครัวถึง 3 คน เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า หลังจากมีการร้องเรียนเกิดขึ้นทำให้เธอตั้งคำถามว่า ตลอดเวลา 4 เดือนที่ทำงานให้ชมรมคนพิการในจังหวัด แท้จริงตนต้องได้รับค่าแรงเท่าไร? เพราะที่ผ่านมาสมาคมคนพิการจ่ายค่าจ้างเพียงเดือนละ 2,000 บาทเท่านั้น
นางเอ (นามสมมุติ) ยังบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เริ่มเข้าโครงการจ้างเหมาบริการตามมาตรา 35 ตั้งแต่ปี 2560 จากการชักชวนของสมาคมคนพิการในจังหวัด ทำงานในสมาคม 3 - 4 วันต่อสัปดาห์ ก่อนทำงานสมาคมไม่เคยบอกว่าสิทธิตามกฎหมายจะได้รับค่าแรงเท่าไร
เขาให้เซ็นเอกสาร 3 - 4 ชุด ให้เราไปเปิดบัญชีธนาคารพร้อมบัตร ATM แต่เขาเก็บสมุดบัญชีและบัตร ATM ไว้ โดยไม่บอกว่าจะได้เงินเดือนเท่าไร และใช้วิธีจ่ายเงินค่าจ้างเป็นเงินสดเดือนละ 2,000 บาท
นางเอบอกว่า พบพิรุธตั้งแต่สมาคมเก็บบัญชีธนาคารและบัตร ATM ไว้ เคยขอสมุดบัญชีเพื่อจะนำไปเป็นหลักฐานนำมาประกอบการกู้เงิน แต่กลับถูกปฎิเสธ เมื่อพบความผิดปกติทั้งความไม่ชัดเจนของงานและรายได้ ทำให้เธอไปขอรายการเดินบัญชีจากธนาคาร และพบว่ามีเงินเข้าบัญชีจำนวน 3 งวด งวดละ 27,375 บาท
เงินเริ่มเข้าบัญชีงวดแรกวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 จำนวน 27,375บาท
และมีการถอนออกหมดในวันเดียวกัน
ครั้งที่ 2 เงินเข้าวันที่ 25 เมษายน 2561 จำนวน 27,375 บาท ถอนออกหมดในวันเดียวกัน
ครั้งที่ 3 เงินเข้าวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 จำนวน 27,375 บาท ถอนออกหมดในวันเดียวกัน
เราไปขอรายการเดินบัญชีมา เห็นเงินเข้าบัญชี 27,375 บาท เราก็ตกใจ เงินเข้าบัญชีจำนวนเท่านี้แต่ทำไมเขาถึงจ่ายค่าจ้างเราแค่ 2,000 บาท
แม้จะเห็นรายการเดินบัญชีมีเงินเข้าจำนวนมาก แต่ตอนแรกเธอก็ไม่ติดใจเพราะคิดว่าเงินที่หายไปจากบัญชี สมาคมนำไปช่วยเหลือคนพิการและผู้ดูแลคนพิการในจังหวัด แต่หลังจากเห็นข่าวจึงติดต่อไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาคมถามถึงความชัดเจนการจ้างงาน แต่กลับไม่ได้รับข้อเท็จจริง
ทำให้เธอตัดสินใจเซ็นเอกสารลาออกจากสมาคมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนการออกมาเปิดเผยข้อมูลนี้เพราะเชื่อว่าคนพิการจำนวนไม่น้อยอาจจะกำลังถูกโกงจากสมาคมคนพิการ แต่ไม่กล้าจะลุกขึ้นมาสู้
ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่ามูลค่าของการโกงคนพิการ จะมากถึง 1,500 ล้านบาทต่อปีจริงหรือไม่ แต่การออกมาร้องเรียนครั้งนี้ต้องการบอกให้สังคมรู้ว่า "หักหัวคิวจ้างแรงงานคนพิการ" มีจริงในประเทศไทย
อ่าน Insight : เปิดโปงกลโกงคนพิการ ตอน 2
จิราพร คำภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส
อธิบายแผนการโกงเงินคนพิการ