วันนี้ (7 ต.ค.2561) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ยินดีที่ประเทศไทยพ้นจากบัญชีดำรายการประเทศที่ลักลอบค้างาช้างตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส นับเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยเป็นตลาดค้างาช้างขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งส่วนใหญ่งาช้างได้มาจากการฆ่าช้างแอฟริกาแล้วลักลอบนำเข้ามา รัฐบาลจึงได้ปิดตลาดค้างาช้างในประเทศไทย และจัดทำแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2557 โดยกำหนดมาตรการตรวจสอบ จับกุม ปราบปราม
นอกจากนี้ ยังได้แก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉ.3) พ.ศ.2557 และ พ.ร.บ.งาช้าง พ.ศ.2558 ทำให้มีการควบคุมการครอบครอง การค้างาช้าง และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากงาช้างอย่างเข้มงวด มีการจดทะเบียนและตรวจพิสูจน์ DNA ของงาช้าง หากพบว่ามีการครอบครองหรือค้างาช้างแอฟริกาจะถือว่าเป็นความผิดทันที
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจังต่อไป เพราะการพ้นจากบัญชีไซเตสครั้งนี้เท่ากับว่าประเทศไทยพ้นจากความเสี่ยงตามมาตรการคว่ำบาตรทางการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าพืชและสัตว์อีกกว่า 35,000 ชนิด เช่น กล้วยไม้และไม้มีค่าต่างๆ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 47,000 ล้านบาทต่อปี ที่สำคัญยังช่วยลดจำนวนช้างแอฟริกาที่ถูกฆ่ากว่า 20,000 เชือก ในแต่ละปีด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ช้างเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีความเฉลียวฉลาด และยังถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง แต่ปัจจุบันยังมีช้างไทยจำนวนไม่น้อยที่ลำบาก ถูกทารุณกรรม และนำไปใช้งานผิดประเภท เช่น ถูกนำไปเดินในเมืองเพื่อหาเงินให้ควาญช้าง จึงขอให้ผู้รับผิดชอบสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวดและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมถึงขึ้นทะเบียนช้างป่าและช้างบ้านให้ครบถ้วน เพื่อประโยชน์ในการดูแลช่วยเหลืออย่างเหมาะสมต่อไป
สำหรับผู้ที่พบเห็นการนำช้างไปงานอย่างไม่เหมาะสมหรือช้างถูกทารุณ สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง