วันนี้ (14 ต.ค.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เข้าเก็บหลักฐานและตรวจสอบเส้นทางการล่าหมีขอในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค เป็นครั้งที่ 3 เนื่องจากเส้นทางการล่าหมีขอมีหลายจุด แต่ความยากลำบากคือการเดินทางเข้าไปยังจุดเกิดเหตุต้องใช้เวลามากกว่า 4 ชั่วโมงทำให้การเข้าไปเก็บหลักฐานและตรวจสอบแต่ละครั้งค่อนข้างมีเวลาที่จำกัด
เส้นทางลัดเลาะไปตามภูเขา มุ่งหน้าสู่สำนักสงฆ์เหมืองเต่าดำ คือเป้าหมายของการตรวจสอบจุดเกิดเหตุล่าหมีขอ ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยคระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางมากกว่า 4 ชั่วโมง เป็นอุปสรรคที่ทำให้ตรวจสอบค้นหาหลักฐานในจุดมีเวลาที่จำกัดการเข้าพื้นที่ในครั้งที่ 3 นำโดย พล.ต.ต.อภิชิต เทียนเพิ่มพูล รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตำรวจ (รรท.รองผบช.ภ.7)
ทีมพิสูจน์หลักฐาน ทั้งตำรวจภาค 7 สภ.กาญจนบุรี และ สภ.ไทรโยค เข้าไปในพื้นที่เพื่อเร่งที่จะเก็บหลักฐาน และตรวจสอบให้เสร็จเร็วที่สุดเป้าหมายแรก คือการเข้าตรวจสอบบริเวณบ้านของนายจิระ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่คาดว่า เป็นผู้ชำแหละหมี หลังจากเข้าตรวจสอบ ในจุดแรกเจ้าหน้าที่ยังคงต้องเดินทางกว่า 60 กิโลเมตร ไปยังพื้นที่จุดเกิดเหตุบริเวณสำนักสงฆ์เหมืองเต่าดำ เพื่อเก็บหลักฐานเพิ่มเติมอย่างละเอียด
ลำธารน้ำในบริเวณสำนักสงฆ์เต่าดำ เขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี ยังคงถูกตำรวจเร่งค้นหาซากกะโหลกหมีขอ ตามคำให้การอ้างของกลุ่มผู้ต้องหา คดีของนายวัชรชัย สมีรักษ์ อดีตปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย กับพวกที่เข้ามาล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งนี้ และวันนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่ พระสงฆ์ ในสำนักสงฆ์เหมืองเต่าดำให้ข้อมูลกับตำรวจ หลังเกิดคดีขึ้น
ระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร ไปจนถึงสำนักสงฆ์เหมืองเต่าดำในแต่ละจุดเป็นการย้อนเส้นทางที่กลุ่มนายวัชรชัย เดินทางเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค แม้ก่อนหน้านี้ ตำรวจจะเก็บหลักฐานไปแล้ว แต่ครั้งนี้ เป็นการจำลองเหตุการณ์ในวันที่นายวัชรชัย และพวกถูกจับ แนววิถีกระสุนใต้ต้นไม้ใหญ่ กลางเขตอุทยานฯ เป็นจุดที่คาดว่า กลุ่มนายวัชรชัย ยิงหมีขอ บนต้นไม้ และจุดนี้ ไม่ไกลไปจากสำนักสงฆ์มากนัก ซึ่งเป็นจุดที่นายวัชรชัย และพวกใช้พักแรมและชำแหละหมีขอ
ขณะเดียวกันพยานบุคคล ยังพาตำรวจเข้าตรวจสอบบ้านพักของนายเจนระ สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี โดยกุญแจ ยังล็อคประตูหน้าบ้าน พยานบอกว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ นายเจนระ และภรรยา ไม่ได้ย้อนกลับมา
การลงพื้นที่ของตำรวจครั้งนี้ ถือเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งให้พนักงานสอบสวนเร่งพิสูจน์พยานหลักฐาน เพื่อประกอบสำนวน และส่งให้พนักงานอัยการให้ทันภายในกรอบระยะเวลา 1 เดือน หลังจากนี้ตำรวจ จะนำพยานหลักฐานที่เก็บได้เพิ่มในพื้นที่ มาประกอบสำนวนคดี และต้องรอผลการตรวจ วัตถุพยานในพื้นที่ จากสำนักนิติเวช เพื่อนำผลตรวจพิสูจน์ที่ได้ มาเร่งดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง