วันนี้ (25 พ.ย.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน (ครั้งที่ 5)” โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20 – 22 พ.ย.2561 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,260 ตัวอย่าง
สำหรับบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน 10 อันดับแรก ได้แก่
- อันดับ 1 ร้อยละ 25.16 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคเพื่อไทย)
- อันดับ 2 ร้อยละ 24.05 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี)
- อันดับ 3 ร้อยละ 14.52 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่)
- อันดับ 4 ร้อยละ 11.67 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์)
- อันดับ 5 ร้อยละ 6.90 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส (หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย)
- อันดับ 6 ร้อยละ 5.32 พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ (หัวหน้าพรรคเพื่อไทย)
- อันดับ 7 ร้อยละ 4.29 นายชวน หลีกภัย (อดีตนายกรัฐมนตรี)
- อันดับ 8 ร้อยละ 1.35 ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล (หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย)
- อันดับ 9 ร้อยละ 1.19 นายอุตตม สาวนายน (หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ)
- อันดับ 10 ร้อยละ 1.11 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (รองนายกรัฐมนตรี)
หวังพรรคใหม่ๆ เป็นรัฐบาล
จากการสำรวจเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้เข้ามาเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 61.67 ระบุว่า พรรคการเมืองพรรคใหม่ ๆ เนื่องจากต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง มีคนใหม่ๆ นโยบายใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ เข้ามาบริหารและพัฒนาประเทศ
ขณะที่บางส่วนระบุว่า เบื่อการบริหารงานของพรรคการเมืองพรรคเก่า และร้อยละ 38.33 ระบุว่า ต้องการพรรคการเมืองพรรคเก่า เนื่องจากมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ชอบการบริหารงานแบบเก่าๆ บริหารงานดีอยู่แล้ว การทำงานมีระบบ เคยเห็นผลงานมาแล้ว มั่นใจในผลงาน รู้จักและคุ้นเคยกับประชาชนเป็นอย่างดี มีความเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าพรรคการเมืองพรรคใหม่
10 อันดับ พรรคการเมืองยอดฮิต
เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล 10 อันดับแรก ได้แก่
- อันดับ 1 ร้อยละ 31.75 พรรคเพื่อไทย
- อันดับ 2 ร้อยละ 19.92 พรรคพลังประชารัฐ
- อันดับ 3 ร้อยละ 16.98 พรรคประชาธิปัตย์
- อันดับ 4 ร้อยละ 15.63 พรรคอนาคตใหม่
- อันดับ 5 ร้อยละ 5.32 พรรคเสรีรวมไทย
- อันดับ 6 ร้อยละ 2.14 พรรคชาติไทยพัฒนา
- อันดับ 7 ร้อยละ 1.83 พรรคไทยรักษาชาติ
- อันดับ 8 ร้อยละ 1.67 พรรครวมพลังประชาชาติไทย
- อันดับ 9 ร้อยละ 1.35 พรรคภูมิใจไทย
- อันดับ 10 ร้อยละ 0.79 พรรคพลังชาติไทย
ส่วนปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ใช้ในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.21 ระบุว่า เป็นบุคคลที่มีผลงานประจักษ์ ทำประโยชน์ในพื้นที่หรือต่อประเทศไทย รองลงมา ร้อยละ 33.33 ระบุว่า ชอบพรรค/นโยบายของพรรคที่ผู้สมัครสังกัด ร้อยละ 10.24 ระบุว่า ต้องการได้ ส.ส.หน้าใหม่
ขณะที่ ร้อยละ 7.94 ระบุว่า ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว เช่น บุคลิก หน้าตา ท่าทาง มีแนวคิดคล้ายตนเอง เป็นคนบ้านเดียวกัน เป็นต้น ร้อยละ 1.75 ระบุว่า ต้องการได้นายกรัฐมนตรีตามมติของพรรคที่ผู้สมัครสังกัด ร้อยละ 1.35 ระบุว่า เป็นอดีต ส.ส. หรือ นักการเมืองในพื้นที่ หรือเป็นญาตินักการเมืองเดิมในพื้นที่ ร้อยละ 0.63 ระบุว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคที่ตนเองไม่ชอบ และร้อยละ 0.55 ระบุว่า ผู้สมัครสังกัดพรรคที่จะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน
หวังรัฐบาลใหม่แก้ปัญหาปากท้อง-หนี้สิน
สำหรับปัญหาที่อยากให้นายกคนต่อไปเข้ามาแก้ไขมากที่สุด พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.13 ระบุว่า ปัญหาปากท้องและหนี้สินของประชาชน รองลงมา ร้อยละ 28.81 ระบุว่า ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ร้อยละ 9.21 ระบุว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจโดยมิชอบ ผู้มีอิทธิพล ร้อยละ 5.08 ระบุว่า ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม มิจฉาชีพ
ร้อยละ 5.00 ระบุว่า ปัญหาการควบคุมราคาสินค้า ร้อยละ 2.62 ระบุว่า ปัญหาการว่างงานและแรงงานนอกระบบ และปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในปัจจุบัน ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 1.11 ระบุว่า ปัญหาด้านสุขภาพการรักษาพยาบาล และการคุ้มครองความเสี่ยงของผู้บริโภค และร้อยละ 1.42 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาด้านการคมนาคม ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาด้านการบังคับใช้กฎหมาย และระบบงานราชการ
ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้ง ภายในเดือน ก.พ.2562 โดยไม่มีการเลื่อนออกไปอีก พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 50.71 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่น เพราะ หลายพรรคการเมืองยังไม่พร้อม ไม่ชัดเจนในหลายๆ เรื่อง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ขณะที่บางส่วนระบุว่า เลื่อนการเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้งเลยทำให้ขาดความเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 48.81 ระบุว่า เชื่อมั่น เพราะ สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ เป็นไปตามโรดแมปที่รัฐบาลวางไว้ มีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันแล้วถึงกำหนดการเลือกตั้ง และเชื่อมั่นในความสามารถและความพร้อมของรัฐบาล และร้อยละ 0.48 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ