วันนี้(28 พ.ย.2561) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เดินทางมาที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อทวงถามความคืบหน้าภายหลังจากมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ได้ยื่นคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรยาต้านไวรัสเอชไอวี และยารักษาไวรัสตับอักเสบซี ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการเข้าถึงยารักษา
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า มูลนิธิฯ ได้ยื่นคัดค้านคำขอสิทธิบัตรยาต้านไวรัสเอชไอวี และยารักษาไวรัสตับอักเสบซี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ตามขั้นตอนทางกฎหมาย 90 วันที่เห็นว่าการขอสิทธิบัตรยาของบริษัทยาไม่มีนวัตกรรมที่ดีกว่ายาสูตรเดิม
ซึ่งจนถึงตอนนี้ผ่านมา 3 ปีจนเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ และไม่มีความชัดเจนว่าจะพิจารณาเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ซึ่งมีผลว่า ถ้าไม่รีบตรวจสอบหรือชี้ไปในทางใดทางหนึ่ง ผู้ยื่นขอสิทธิบัตรสามารถอ้างได้แล้วว่ายาตัวนี้ได้สิทธิบัตรตามกฎหมายนับแต่วันที่ยื่นคำขอ หากกรมฯ พิจารณาว่าไม่มีสิทธิ บริษัทยาอื่นก็จะได้เริ่มผลิตยา ทำให้เกิดการแข่งขัน และราคายาก็จะถูกลง ระบบหลักประกันสุขภาพจะสามารถต่อรองราคายาได้มากขึ้น ถ้าไม่มีการผูกขาด โดยใช้จ่ายงบประมาณในจำนวนเท่าเดิม แต่จะเพิ่มจำนวนเม็ดยา จำนวนผู้ป่วยให้เข้าถึงยาได้มากขึ้น
ทรัพย์สินทางปัญญาไม่ควรเป็นเครื่องมือในการผูกขาด จนทำให้คนเข้าถึงยาไม่ได้
ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดสื กล่าวอีกว่า ความจำเป็นการยื่นคัดค้านคำขอสิทธิบัตรจำนวน 5 ฉบับของมูลนิธิฯ เพราะมีข้อมูลเชื่อได้ว่าคำขอทั้ง 5 ฉบับนี้ไม่เข้าข่ายที่จะได้รับสิทธิบัตร เช่น ยาไม่ใหม่จริง หรือนำยาเก่ามารวมเม็ดใหม่ จนทำให้ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงยา ทั้งยาต้านไวรัสเอชไอวี และยารักษาไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งการมีสิทธิบัตรจะทำให้ยามีราคาแพง และส่งผลกระทบต่อชีวิตคน
นอกจากนี้ฐานข้อมูลของกรมทรัพย์ทางปัญญา ก็ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถค้นหาได้ว่ารายละเอียดการขอสิทธิบัตรเป็นอย่างไร หรือเมื่อทำจดหมายไปสอบถาม ก็แจ้งว่ายังไม่มีการยื่นขอสิทธิบัตร ทั้งที่มีบริษัทยามายื่นขอในช่วงเวลาที่มูลนิธิฯ สอบถามไป ขณะที่กรมฯ ทำเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบกับชีวิตคน เพราะเป็นการให้สิทธิผูกขาดในการคิด ผลิต ขายแต่เพียงผู้เดียว แล้วการันตีการผูกขาดโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา
ทั้งนี้มูลนิธิฯ และเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ เรียกร้องให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาดำเนินการดังนี้ 1.ชี้แจงกรณีพิจารณาคำคัดค้านล่าช้า และมีกำหนดระยะเวลาที่จะมีคำตัดสินคำคัดค้านที่ชัดเจนและไม่เกิน 4 ปี 2.ให้ความเชื่อมั่นต่อสาธารณะว่าข้อมูลที่ยื่นหลังประกาศโฆษณาเพื่อประกอบการพิจารณาคำขอสิทธิบัตร จะถูกนำไปพิจารณาประกอบกับข้อมูลแหล่งอื่นๆ 3. แสดงความรับผิดชอบต่อการให้ข้อมูลที่ผิดพลาด โดยเฉพาะกรณียา TAF และ 4.ต้องแก้ไขระบบฐานข้อมูลให้สามารถสืบค้นได้อย่างสะดวก ข้อมูลครบถ้วน ถูกต้อง และทันเวลา