วานนี้ (15 ม.ค.2562) นายไพบูลย์ ศรีทอง เข้าแจ้งความกับตำรวจภูธรเมืองปราจีนบุรี เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่นำสำเนาบัตรประชาชน และเอกสารทางราชการอื่น ไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท จนทำให้สรรพากรพื้นที่ปราจีนบุรี ออกหนังสือแจ้งเตือนให้ชำระภาษีกว่า 483 ล้านบาท
นายไพบูลย์ ยืนยันว่า เคยทำงานที่บริษัทแห่งนี้ในฐานะลูกจ้าง แต่ไม่รู้เห็นกับการจัดตั้งและทำธุรกรรมทางการเงินของบริษัท
พล.ต.ต.นราเดช กลมทุกสิ่ง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า จากการสอบถามและดูจากเอกสาร คงต้องเชื่อตามเอกสารของเจ้าหน้าที่แจ้งมา แม้นายไพบูลย์ จะยืนยันไม่รู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยกับเรื่องนี้
จากนี้ไปจะให้เจ้าหน้าที่เช็กที่มาที่ไปทั้งหมด รวมทั้งเส้นทางการเงินของบุคคลที่พัวพันกับเรื่องนี้
รวมถึงนายไพบูลย์เองก็ต้องถูกสอบสวนด้วย ทั้งนี้ผู้กำกับสภ.เมืองปราจีนบุรี แนะนำว่าให้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับ ปปง.อีกทางหนึ่งเพื่อจะได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ก่อตั้งบริษัทด้วย
กรมสรรพากรยืนยันเรียกเก็บภาษีทำตามกฎหมาย
นายปิ่นสาย สุรัสวดี โฆษกกรมสรรพากร ระบุว่า กรมสรรพากร ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าบริษัทดังกล่าวมีรายได้ แต่ยื่นแบบฯ ไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อเจ้าหน้าที่ติดต่อกับผู้ประกอบการหรือกรรมการผู้มีอำนาจ เพื่อขอข้อมูลและเอกสารหลักฐาน ปรากฏว่าไม่มีกรรมการหรือผู้รับมอบอำนาจจากนิติบุคคลเข้ามาให้ข้อมูลหรือส่งมอบเอกสารหลักฐานใดๆ
ประกอบกับเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ขั้นตอนของทางราชการแล้ว บริษัทได้จดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ แต่ยังไม่เสร็จการชำระบัญชี ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงต้องมีการออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีของบริษัท โดยส่งหนังสือไปยังผู้ชำระบัญชีที่เป็นผู้ร้องดังกล่าว
ทั้งนี้ยืนยันว่าการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวนั้น ถูกต้องตามกระบวนการ โดยพบว่านายไพบูลย์ มีตำแหน่งเป็นกรรมการ ผู้มีอำนาจลงนาม กรมสรรพากร จึงเรียกเก็บภาษีของบริษัทไปยังนายไพบูลย์ ในฐานะที่เป็นผู้ชำระบัญชี