วันนี้ (8 ก.พ.2562) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ออกแถลงการณ์ตอบรับการเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ โดยมีรายละเอียดดังนี้
นับเป็นเวลากว่าสิบปี ก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ พี่น้องทั้งหลายคงจำได้ว่า บ้านเมืองเราขณะนั้นได้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนแตกแยกเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย บางครั้งเกิดความรุนแรงถึงขั้นมีการใช้กำลังและอาวุธสงครามเข้าทำร้ายกัน การทำลายสถานที่ราชการ การทำลายการประชุมระดับชาติ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตและทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และการทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ตลอดจนชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของประเทศชาติ สถานการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2557 ผลก็คือการพัฒนาประเทศ การลงทุนและเศรษฐกิจเกิดสภาวะชะงักงัน การใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายขององค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายไม่ว่าตำรวจ ทหาร หรือพลเรือนไม่สามารถกระทำได้ตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย การดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2558 มีข้อติดขัดทางกฎหมาย มีทั้งทำได้ และทำไม่ได้ในบางเรื่อง ขณะนั้นไม่มีทางออกหรือแนวโน้มว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยได้อย่างไร ซึ่งนับเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงและไม่เคยปรากฏขึ้นในประเทศมาก่อน
เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาลเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงเวลาสี่ปีเศษที่ผ่านมาก็ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์จนกลับฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ บ้านเมืองมีความสงบสุขอยู่รอดปลอดภัย ประชาชนดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ประเทศมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าขาย การลงทุน การท่องเที่ยว มีความมั่นคงทางการเมืองทั้งในและระหว่างประเทศ ไม่มีการชุมนุมประท้วงทางการเมืองหรือความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรวม
รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้อย่างมีเอกภาพจนได้รับการยอมรับจากต่างประเทศว่าสามารถแก้ไขปัญหาหมักหมมของประเทศที่การเมืองปกติไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเนื่องจากระยะเวลาการบริหารประเทศของแต่ละรัฐบาลที่สั้นและไม่ต่อเนื่อง ซ้ำยังมีการเกิดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ในสังคมอยู่เป็นระยะ
พี่น้องประชาชนที่รัก ประเทศชาติของเราจะต้องเดินไปข้างหน้า ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ได้กำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อเป็นแนวทางและทิศทางของประเทศต่อไปในอนาคต เพื่อลูกหลานของเรา เพื่อเด็ก ๆ ในวันนี้จะได้มีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า อยู่ในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีความสงบสุขมั่นคง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราประชาชนทุกภาคส่วน จะต้องร่วมกันนำพาประเทศในช่วงเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางให้ได้ ที่สำคัญจะต้องมีรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับ ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน และมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
ผมขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่ได้ให้เกียรติเชิญผมเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ผมได้พิจารณาไตร่ตรองและทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว ในเรื่องนโยบายของพรรคว่าจะสามารถขยายผลสืบเนื่องสิ่งต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลนี้ได้ดำเนินการ หรือวางแนวทาง หรือริเริ่มไว้ได้หรือไม่ อีกทั้งพิจารณาหลายๆ มิติที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องนโยบายและมาตรการด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การดูแลพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ความต่อเนื่องในการบริหารและพัฒนาประเทศในห้วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังที่กล่าวข้างต้น รวมทั้งพิจารณาภาพรวมของพรรคซึ่งประกอบด้วยสมาชิกหลากหลาย เช่น ตัวแทนภาคประชาชนทั้งคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ นักธุรกิจ ที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนนักการเมืองที่มีประสบการณ์ ถึงแม้บางคนเคยเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม และพิจารณาโอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ
การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่ายนักเพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประเทศ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย และผมมีความมั่นใจ ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะสามารถร่วมมือร่วมใจกับพี่น้องประชาชน นำพาประเทศของเราก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมีความสงบสุข มีความสามัคคี ไม่มีความขัดแย้งในสังคมอีกต่อไป
ดังนั้น ผมจึงขอตอบรับการเชิญโดยยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้มุ่งหวังจะสืบทอดอำนาจใด ๆ เพียงแต่มุ่งหวังถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยรวมเป็นสำคัญอย่างแท้จริง โดยจะเร่งบริหารและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผมมีความคาดหวังว่า ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เราจะได้รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสิทธิภาพ มีธรรมาภิบาล ไม่มีการใช้วัฒนธรรมการเมืองเดิมๆ ที่มีการต่อรองผลประโยชน์หรือตำแหน่งเพื่อกลุ่มของตนเอง เพื่อให้ได้คนดี มีความสามารถมาบริหารราชการ โดยทุกคนต้องเสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมเท่านั้น
ทั้งนี้ผมพร้อมจะร่วมมือทำงานกับทุกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน” ขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง และขอให้ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังภายใต้กฎหมาย และกติกาที่กำหนด สร้างมิตร สร้างความสามัคคี มุ่งทำบ้านเมืองให้เกิดสันติสุขเจริญรุ่งเรืองต่อไปอย่างยั่งยืน