วันนี้ (8 ก.พ.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ปิดตลาดภาคบ่ายที่ 1,651.68 จุด ลดลง 1.43 จุด และมีมูลค่าการซื้่อขายทั้งสิ้น 56,862.15 ล้านบาท ซึ่งในช่วงภาคเช้า ดัชนีติดลบสูงสุดที่ 15 จุด จากแรงขายของนักลงทุนรายย่อย ก่อนที่จะกระเตื้องขึ้นมาได้ จนในช่วงปิดตลาดภาคบ่ายติดลบเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ หุ้นที่เกี่ยวกับตระกูลชินวัตร และดามาพงษ์ปรับขึ้นเกือบทุกตัว โดยเฉพาะหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ทั้งที่การประกาศรายงานผลประกอบการ ไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ปรับลดลงร้อยละ 11 เมื่อเทียบปีก่อน โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ได้เคยวิเคราะห์ว่าความสามารถในการทำกำไรลดลงต่ำสุดในรอบ 9 ไตรมาส นอกจากนี้ หุ้นของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ ยังมีมูลค่าการซื้อของสูงสุดถึงกว่า 2,356.05 ล้านบาท และราคาปรับเพิ่มร้อยละ 2.70
ด้านนายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าอ่อนตัวลงไป จากนั้นสามารถดีดกลับขึ้นมาได้ มองช่วงสั้นตลาดมีโอกาสพักฐานอยู่แล้ว หลังจากดัชนีปรับตัวขึ้นไปเกือบ 100 จุดในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าเป็นการพักเพื่อไปต่อ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศทั้งเรื่องอังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิท) และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งหากยังไม่ได้ข้อสรุป อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลงด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ต่างปรับตัวลดลง
ส่วนในประเทศไทย ความคืบหน้าเรื่องการเลือกตั้งช่วยหนุนตลาดได้ แต่ตลาดไม่ได้มีปฏิกิริยากับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองต่างๆ อย่างมีนัยมากนัก ซึ่งเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงภาคเช้า แต่ยังเชื่อว่าการเลือกตั้งจะช่วยหนุนเม็ดเงินหมุนเวียนให้เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทุกพรรค ล้วนเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องเล่นกันในเกม โดยมีประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งรัฐบาลขณะนี้ ต้องประคับประคองประเทศ เพื่อให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน
สำหรับรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ยังคงมีแผนเดินสายตามกระทรวงเศรษฐกิจ เพื่อติดตามการทำงาน และกำชับข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ ทำงานตามนโยบายที่วางไว้