วันนี้ (11 พ.ค.2562) ผุ้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคการเมือง 2 พรรคต่างยืนยันว่าขั้วของตัวเองมีความชอบธรรมตั้งรัฐบาล หลัง กกต.ประกาศรายชื่อ ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อครบตามเงื่อนไข 2 ขั้วการเมือง ทั้งขั้วพรรคเพื่อไทยและขั้วพรรคพลังประชารัฐ โดยขั้วเพื่อไทย ยืนยันว่าพันธมิตรทั้ง 7 พรรคพร้อมจัดตั้งรัฐบาลเหมือนเดิม แม้เสียง ส.ส.จะลดลงเหลือ 245 เสียง เพราะพรรคหลักอันดับ 2 อย่างพรรคอนาคตใหม่ ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อลดลง
ขณะที่ขั้วพลังประชารัฐ บวกลบแล้ว ส.ส.ที่มีในกำมือกลับเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคาดว่าจะได้ ส.ส.เพิ่มจาก 11 พรรคเล็ก ที่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคละ 1 คน เท่ากับว่าพลังประชารัฐมีเสียง ส.ส.แล้ว 253 เสียง รวมพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ไว้ในสูตรนี้ เท่ากับมี ส.ส.มากกว่าขั้วเพื่อไทย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
ทันทีที่ขั้วพรรคพลังประชารัฐ ประกาศว่ามีความพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เกิดมีกระแสข่าวของขั้วที่ 3 ขึ้นมาแทรก ซึ่งจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลของขั้วนี้จะได้ไปต่อหรือสะดุด และขั้วที่ 3 จะเกิดขึ้นหรือไม่ อยู่ที่เงื่อนไขและการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี ที่พรรคเหล่านี้จะได้ตอบแทนเป็นรางวัลและถือไพ่เหนือกว่า เพราะรู้ตัวว่ากำลัง "เนื้อหอม" และมีค่าต่อการจัดตั้งรัฐบาล
รศ.ตระกูล มีชัย นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า พรรคพลังประชารัฐมีโอกาสค่อนข้างมากในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ปัญหาใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ คือการจัดการกับการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีและผลประโยชน์ต่างๆ ของพรรคร่วม ซึ่งหากจัดการไม่ลงตัวก็จะมีการต่อรองลักษณะนี้ ทำให้การทำงานของรัฐบาลในอนาคตต้องสะดุด
มันจะเกิดการต่อรอง 2 ต่อ ต่อรองกันเองในกลุ่มพรรคเดียวกันเอง 11 พรรคว่าใครจะได้อะไร อันนี้มันอยู่ในวังวนของการเมืองไทยมานาน มันก็เกิดขึ้นมาอีก
รศ.ตระกูล ระบุอีกว่า การมีตัวตนของขั้วที่ 3 ที่มาจากการต่อรอง- ช่วงชิงผลประโยชน์ แม้จะถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติของการเมืองไทย แต่การเมืองแบบนี้จะทำให้ประเทศไทยถอยหลังและทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ หากขั้วพลังประชารัฐตั้งรัฐบาลตามเงื่อนไขของพรรคร่วม อาจทำให้รัฐบาลในอนาคตมีปัญหาได้ ตามที่คาดการณ์จะทำให้มีรัฐบาลขาดเสถียรภาพรุนแรงและมีอายุไม่เกิน 2 ปี เมื่อถึงเวลานั้นอาจต้องมีการเลือกตั้งใหม่และจัดรูปการเมืองอีกครั้ง