กรณีอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้ทำการบูรณะซ่อมแซมเพนียดคล้องช้าง หมู่ที่ 3 ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลังชาวบ้านร้องเรียน ว่า การบูรณะซ่อมแซมมีการตัดหัวเสาตะลุงที่อยู่ด้านนอกเพนียด หรือที่เรียกว่า ปีกกาออกทั้งหมด ทำให้เพนียดคล้องช้างเปลี่ยนไปดูไม่สวยงามเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงการใช้งบประมาณในการบูรณะกว่า 30 ล้านบาท
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้อธิบายผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าวว่า
พ.ศ.2410-2440 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏภาพถ่ายเก่าโดยชาวไทยและชาวต่างชาติหลายชุด ที่เข้ามาถ่ายภาพในพื้นที่เพนียด
ปรากฏหลักฐานหัวเสาด้านในเชิงเทินเพนียดเป็นเสาหัวมนใต้ส่วนที่มนมีการเซาะร่อง 2 ร่อง ส่วนเสาด้านนอกเชิงเทินเป็นหัวเสาตัดตรง
พ.ศ.2441 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการบูรณะเพนียด โดยรัชกาลที่ 5 เสด็จมาทอดพระเนตรการบูรณะ เมื่อวันที่ 30 ม.ค.และในช่วงวันที่ 9-12 ก.พ. ทรงโปรดให้มีพิธีคล้องช้าง รูปแบบหัวเสา
จากภาพถ่ายเก่ายังเป็นรูปแบบหัวเสาด้านในเชิงเทินเป็นเสาหัวมน ด้านนอกเชิงเทินเป็นหัวเสาตัดตรง เหมือนก่อนการบูรณะ
พ.ศ.2500 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงโปรดให้ซ่อมเพนียด
ปรากฏภาพถ่ายเมื่อปี พ.ศ.2505 รูปแบบหัวเสาในครั้งนี้ถูกเปลี่ยนไป โดยรูปแบบเสาทั้งด้านในและนอกเชิงเทินเป็นเสาหัวมน ที่ใต้ส่วนที่มนมีการเซาะร่องเพียงร่องเดียว คาดว่าเป็นการบูรณะโดยการเปลี่ยนเสาใหม่ทั้งหมด
พ.ศ.2530-2531 และ พ.ศ.2550-2551 มีการบูรณะเพนียด รูปแบบหัวเสายังคงยึดตามแบบการบูรณะในปี พ.ศ.2500
และในปี พ.ศ. 2561-2562 กรมศิลปากรได้บูรณะเพนียดอีกครั้งตามรูปแบบดั้งเดิมตามหลักฐานจากภาพถ่ายเก่าในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5
"เสาตะลุง"
"เพนียด" เป็นคำเรียก กรงต่อนกเขา เป็นโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถานแล้ว สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการคล้องช้างป่า นำมาใช้ประโยชน์ในราชการทั้งในเวลาปกติและในสงคราม แต่บางครั้งพระเจ้าแผ่นดินโปรดฯ ให้ทำพิธีคล้องช้างป่าให้แขกเมืองชมด้วยเช่นกัน
บริเวณของกลุ่มเพนียดคล้องช้าง จะมีกลุ่มโบราณสถานที่สำคัญคือเพนียดคล้องช้าง ตำหนักเพนียด และเตาเผาบ้านเพนียด ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ศาสตราจารย์สุทธิลักษณ์ อำพันวงศ์ เล่าไว้ในหนังสือเรื่องช้างไทยว่า "เพนียด" ทำด้วยซุงต้นใหญ่ ๆ เรียกว่า "เสาตะลุง" ปักห่างกันประมาณ 1 คืบ เรียงรายไปโดยรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
การคล้องช้างจะมีช้างพังเป็นช้างต่อล่อให้ช้างป่าติดตามเข้าไปในเพนียดใหญ่ ต่อมาใช้ช้างพลายเข้าขนาบ 2 ข้าง บังคับให้ช้างป่าเข้าซองไปในเพนียดเล็ก หมอช้างจะใช้เชือกคล้องเท้าหลังของช้าง แล้วควาญช้างจะช่วยกันดึงเชือกนั้นจนกระทั่งช้างป่าออกมาพ้นเพนียด
"เสาตะลุง" คือ ไม้ท่อนกลม หัวเสากลึงเป็นรูปหัวเม็ดทรงมัณฑ์ ปักเป็นหลักคู่หนึ่ง สำหรับล่ามช้างหรือผูกช้างเครื่องยืนแท่น
ในอดีตเพนียดตั้งอยู่ที่วัดซอง ด้านทิศเหนือของพระราชวังจันทรเกษม ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ.2123 โปรดให้ขยายกำแพงพระนครด้านทิศตะวันออกไปถึงริมแม่น้ำ และใหย้ายเพนียดไปตั้งที่ ต.ทะเลหญ้า หรือ ต.สวนพริก ในปัจจุบัน
ครั้นหลังเสียกรุงศรีอยุธยาปี พ.ศ.2310 เพนียดถูกทิ้งร้างไป จนกระทั้งสมัยรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์จึงโปรดฯให้บูรณะเรื่อยมา เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 9 และสมัยรัชกาลปัจจุบัน
ในสมัยอยุธยา "ช้าง" ถือว่าเป็นสัตว์มงคลที่มีความสำคัญสูงมาก เป็นทั้งพาหนะของชนชั้นสูงสำหรับพระราชดำเนินทางสถลมาตร และพาหนะใช้ในการรบกับข้าศึก และถ้าเป็น "ช้างเผือก" ถือว่าเป็นสิ่งมง คลคู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์
พระเจ้าแผ่นดินสมัยอยุธยา จึงเสด็จมาทอดพระเนตรการคล้องช้างเสมอ ดังนั้นจึงมีขั้นตอนการคล้องช้าง และเป็นพระราชพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดต่อมา นอกจากนั้นการคล้องช้าง ยังถือว่าเป็นมหรสพอย่างหนึ่งที่พระเจ้าแผ่นดินทรงทอดพระเนตรเพื่อความสำราญพระราชหฤทัยด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง