สืบเนื่องจากกรณีสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ยื่นหนังสือต่อกระทรวงคมนาคม คัดค้านการต่อขยายสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 และส่วนต่อขยายบางปะอิน-ปากเกร็ด 30 ปี เพื่อแลกกับหนี้ข้อพิพาท 17 เรื่อง มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งเดิมคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. วันนี้ (2 ก.ค.2562)
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้รับเรื่องแล้วและได้หารือร่วมกับ สสร.ด้วย เบื้องต้นสหภาพฯ ไม่ติดใจเรื่องต่อขยายสัมปทานเพื่อแลกค่าชัดเชย (ค่าโง่) แต่ข้องใจในกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะการเร่งรีบเสนอโครงการให้รัฐบาลอนุมัติในช่วงเปลี่ยนรัฐบาล
ส่วนข้อสงสัยเรื่องการขยายสัมปทานนั้น นายไพรินทร์ ชี้แจงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสั่งการให้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) ไปหาแนวทางชำระค่าชดเชยรายได้ทางด่วนเส้นทางอุดรรัถยา วงเงินกว่า 4 พันล้านบาท ที่ศาลได้มีคำสั่งตัดสินสิ้นสุดไปแล้ว แต่ ครม. มีเงื่อนไขคือต้องไม่ชำระเป็นเงินสด
ดังนั้น กทพ.จึงได้ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษขึ้นมา โดยมีกรรมการจากหลายหน่วยงาน เช่น กทพ. กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง เพื่อหาแนวทางในการชำระค่าชดเชย จนได้ข้อสรุปเรื่องการขอขยายสัมปทานทางด่วนไปอีก 30 ปี เพื่อแลกกับค่าชดเชยดังกล่าว และค่าชดเชยในอนาคตที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
นายไพรินทร์ ยืนยันว่า "วันนี้ยังไม่ได้เสนอการต่อสัมปทานให้กับที่ประชุม ครม. เนื่องจากเรื่องยังอยู่ที่กระทรวงคมนาคม และกระทรวงต้องตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนก่อนจึงจะเสนอที่ประชุม ครม."
เบื้องต้นพิจารณาแล้วทางที่ กทพ. เสนอมานั้น พบว่าเป็นไปตามแผนและเงื่อนไขของการร่วมทุนตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) แต่เพราะเป็นความลับและอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม จึงต้องดึงเรื่องมาตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนเสนอ ครม.