อะไรเป็นตัวชี้วัดว่ากระทรวงไหนจะมีคนจอง...
อย่างแรกคงพิจารณาว่าได้รับจัดสรรงบประมาณมากน้อยแค่ไหน อย่างที่สอง คืออำนาจในการพิจารณาโครงการ ที่จะเอื้อต่อส่วนใดได้บ้าง
มาดูงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 สามล้านล้านบาท มหาดไทย กลาโหม เกษตร คมนาคม จัดอยู่ในกระทรวงเกรดเอ กวาดไปกระทรวงละหลายแสนล้าน ก่อนหน้านี้ชื่อของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ถูกเสนอสลับกันไปมา ว่าจะนั่งเจ้ากระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงาน
เทียบกันอุตสาหกรรมได้งบ 5,063 ล้านบาท มากกว่าพลังงานตั้งเท่าตัว เพราะได้เพียง 2,318 ล้านบาท ยิ่งเทียบทุกกระทรวง กระทรวงพลังงานได้งบน้อยที่สุด แต่ตอนนี้กลับเนื้อหอมมากที่สุด
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijM75XnaPiGcXujZuaL8mf9DKBLUWp.jpg)
ถ้าตัดเรื่องงบประมาณออกไป เหลือเหตุผลที่สองที่ช่วงชิงเป็นรัฐมนตรีพลังงาน คือ อำนาจในการจัดสรรพิจารณาโครงการ แม้กระทรวงอุตสาหกรรมมีโรงงานที่ต้องกำกับดูแลหลายพันราย แต่ไม่เหมือนกับกระทรวงพลังงานที่ได้กำกับรัฐวิสาหกิจใหญ่สองแห่งพร้อมกับบริษัทในเครือ คือ ปตท.และ กฟผ.
ปตท.เฉพาะบริษัทแม่ มาร์เก็ตแคปในตลาดหลักทรัพย์ 1.3 ล้านล้านบาท ส่วน กฟผ. ขายไฟขายบริการ ได้ปีละ 5 แสนล้านบาท คิดเป็นกำไรเกือบ 5 หมื่นล้านบาท สองรัฐวิสาหกิจนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญของทุกรัฐบาล
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijM75XnaPiGcXujZuZ3nKw6wEmdLJk.jpg)
ส่วนจัดสรรโรงไฟฟ้าใหม่ ตามแผนพีดีพี หรือแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ที่ต้องลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 10 โรง 8,300 เมกะวัตต์ ทั้งสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ และสร้างโรงไฟฟ้าทดแทนโรงเก่าที่ปลดระวาง ทั้งใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน แม้ตอนนี้คัดเลือกไปแล้ว 2 โรงในภาคตะวันตก แต่ก็ยังเหลือ 8 โรงมูลค่าการลงทุนหลายแสนล้านบาท ที่รอรัฐมนตรีคนใหม่
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijM75XnaPiGcXujZuYKwYj3QWdZVyl.jpg)
รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานจะมีบทบาทตัดสินใจจะจัดสรรให้ใคร ในฐานะประธานคณะกรรมการไม่ไม่นับใบอนุญาตโรงไฟฟ้าประเภทอื่น และการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ที่ในระยะแรกเน้นเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ ภาคประชาชน ที่กำหนดไว้ 1,000 เมกะวัตต์
ยังมีเรื่องต้องขับเคลื่อน กรณีก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ แอลเอ็นจี ที่เดิม ปตท.นำเข้ารายเดียว ก่อนส่วนก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ แอลเอ็นจี ที่ปลดล็อคให้ กฟผ.นำเข้ามาเองได้ 1.5 ล้านตัน แต่ผ่านไป 2 ปี ยังนำเข้าไม่ได้ เพราะต้องจัดสรรให้ดี กลัวนำเข้าชนกับ ปตท.ที่มีแผนปีหน้า 5.2 ล้านตัน รวมถึง การผลักดัน การค้าก๊าซแอลเอ็นจี ให้ไทยเป็น ศูนย์กลางซื้อขาย หรือ ฮับ แอลเอ็นจี จากที่ซื้อมาใช้อย่างเดียว ขยายเป็น ซื้อแล้วส่งขายได้ด้วย เป็นแผนงานอีกเรื่องที่รัฐมนตรีใหม่จะมีโอกาสได้ตัดสินใจ
อำนาจยังมีอีก...แม้แหล่งบงกช-เอราวัณ ได้ข้อยุติประมูลผู้รับสิทธิ์ไปแล้ว ลำดับต่อไป แผนเตรียมเปิดประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ยังต้องมีการตัดสินใจ ก่อนหน้านี้ได้ให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติไปศึกษาแนวทางการเปิดประมูลไปแล้ว เพื่อลดการพึ่งพาแอลเอ็นจีนำเข้า เลยไม่รู้ว่าคนที่กำลังช่วงชิงเก้าอี้พลังงาน จะคิดแบบนี้เหมือนกันรึเปล่า งบไม่มาก แต่ภาระหน้าที่มีมาก
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijM75XnaPiGcXujZucxsUmG3aUjnXr.jpg)
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เคยเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ เป็นยุคเปลี่ยนผ่านแปรรูป การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็น บริษัทมหาชน และเคยเป็นรัฐมนตรีคมนาคม ที่ตอนนั้นเผชิญปัญหาเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ ส่วนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เพิ่งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. เป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ก่อนขยับเป็นรัฐมนตรีว่าการ
ทุกกระทรวงมีความสำคัญ ผลักดันขับเคลื่อนประเทศไปได้ ถ้านักการเมือง และ ส.ส.แย่งทำหน้าที่เพื่อเห็นแก่ประเทศเป็นเรื่องน่ายินดี