วันนี้ (21 ก.ค.62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าเยี่ยม ร.ต.ท.จิตต์เกษม จันทร์รัก ผู้บังคับหมวด กองร้อยที่ 2 กองกำกับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ที่ถูกนายเอกราช ชูใหม่ ขับรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู ชนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณถนนกาญจนาภิเษก ที่ด่านเก็บเงินธัญบุรี ก่อนหลบหนีไป
ร.ต.ท.จิตต์เกษม มีอาการกระดูกหักที่ไหล่ซ้ายและขาซ้าย แพทย์ผ่าตัดเรียบร้อยแล้วและใส่เหล็กดามไว้ คาดว่าเกิดจากการกระแทกอย่างแรง ส่วนบาดแผลถลอกที่ใบหน้าซ้ายและตามร่างกาย น่าจะเกิดขณะที่ถูกลากไปตามพื้นถนน นอกจากนี้ยังพบเลือดออกบริเวณนัยน์ตา
ทั้งนี้ พล.ต.อ.วิระชัย ลงพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมกับพนักงานสอบสวน เพื่อจำลองเหตุการณ์นำไปประกอบในสำนวนคดี ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งจากการจำลองเหตุการณ์ประกอบกับหลักฐานจากกล้องวงจรปิดนั้น พบว่าตำแหน่งที่รถคันที่ก่อเหตุจอดอยู่ห่างจากผู้บาดเจ็บประมาณ 4 เมตร ส่วนมุมเฉียงห่างกันประมาณ 5 เมตรเท่านั้น ยืนยันได้ว่าคนขับรถต้องเห็นบุคคลที่เดินออกมาจากช่องขวา ซึ่งตามหลักแล้วจะต้องหยุดรถทันที
แต่จากกล้องวงจรปิดจะเห็นว่ายังขับรถหลบหนีและชนผู้บาดเจ็บก่อนลากไปอีกประมาณ 51 เมตร พร้อมทั้งสะบัดรถไปทางซ้ายเพื่อให้ตกจากรถ จึงสรุปได้ว่ามีเจตนาทำให้บาดเจ็บ และหากพบเห็นคนตกจากรถแล้ว จะต้องหยุดรถเพื่อให้การช่วยเหลือเพื่อไม่ให้บุคคลนั้นบาดเจ็บไปกว่าเดิม แต่กลับขับรถหลบหนีไปทันที พยานหลักฐานที่พบทั้งหมดก็สามารถนำไปประกอบสำนวนคดี และเป็นการก่อเหตุเล็งเห็นผล ส่วนเหตุการณ์ที่ขับรถปาดหน้ากันนั้น พบว่ารถของ ร.ต.ท.จิตต์เกษม มีรอยเฉี่ยวชนกับรถคู่กรณี ถือว่าเป็นคดีจราจรที่ต่างกรรมต่างวาระกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งจะถูกแจ้งข้อหาที่ต่างกันไป
แจ้ง 4 ข้อหาคนขับชนตำรวจ
เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา 4 ข้อ คือ พยายามฆ่า, ขับรถประมาทหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่ร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่น, ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น, ขับรถในทางทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วหลบหนีไป ไม่หยุดช่วยเหลือแจ้งเหตุแสดงตนแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทราบทันที
ด้าน ร.ต.ท.จิตต์เกษม ยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุรถของคู่กรณีขับมาปาดหน้าอย่างกระชั้นชิดจนเกิดการเฉี่ยวชน แต่คู่กรณีไม่หยุดรถลงมาเจรจาและขับรถต่อไป กระทั่งมาถึงบริเวณหน้าด่านเก็บเงินได้พยายามขับรถมาขวางเพื่อให้หยุดลงมาเจรจาแต่ไม่ทัน จึงวิ่งลงมาโบกรถ แต่ถูกคู่กรณีขับรถพุ่งชน พร้อมยืนยันไม่มีอาวุธปืน เนื่องจากไม่เคยซื้อปืน หรือพกปืนขณะปฏิบัติหน้าที่
อ้างไม่เจตนาหลบหนี
ขณะที่นายเอกราช ผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และเข้ามอบตัวกับตำรวจก่อนหน้านี้ อ้างว่าวันเกิดเหตุได้เดินทางไปทำบุญที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และใช้เส้นทางถนนกาญจนาภิเษกเดินทางกลับบ้าน กระทั่งขับรถมาเจอรถยนต์ของ ร.ต.ท.จิตต์เกษม ในลักษณะขับแช่อยู่เลนขวาตลอด จึงรอเวลาอยู่ประมาณ 10 วินาทีเพื่อจะแซง ยืนยันว่าไม่ได้กระพริบไฟ หรือบีบแตรใส่
จากนั้นเบี่ยงแซงซ้ายทิ้งระยะห่างหลาย 10 เมตร เพื่อเข้ามาอยู่เลนขวาตามปกติไม่ได้ปาดหน้า แต่รถของ ร.ต.ท.จิตต์เกษม เร่งความเร็วแซงขึ้นไปแล้วปาดหน้าและเบรก จึงเบรกตาม แต่คู่กรณีก็ขับช้าอยู่ และพยายามจะแซงอีกครั้ง แต่รถของ ร.ต.ท.จิตต์เกษม ขับส่ายไปมา จึงขับรถหนีแต่รถคู่กรณีก็ขับตามมาแล้วโบกมือให้จอดรถ คล้ายว่าถือของบางอย่างในมือ แต่ตัวเองก็ไม่ได้จอดรถ พอมาถึงจุดเกิดเหตุได้ขับรถเข้าช่องอีซีพาส ส่วนคู่กรณีเข้าช่องปกติแต่ชนกรวยที่ตั้งไว้ก่อนถึงหน้าด่านเก็บเงิน เมื่อไม้กันในช่องอีซี่พาร์ทเปิดจึงเหยียบคันเร่งออก แต่คู่กรณีก็กระโดดเข้ามาพอดีและตกใจจึงขับรถกลับบ้าน ยืนยันว่าไม่ได้หลบหนี