วันนี้ (11 ก.ย.2562) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบนโยบายพลังงานเพื่อเศรษฐกิจฐานราก หรือ โรงไฟฟ้าชุมชน ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเสนอ เพื่อช่วยให้ชุมชนมีรายได้จากการเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าและลดภาระค่าใช้จ่ายมีรายได้จากการจำหน่ายวัสดุทางการเกษตรเป็นเชื้อเพลิงและลดการย้ายถิ่นฐานของแรงงานเกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่รวมถึงลดการลงทุนในด้านสายส่ง
ให้ กบง.กำหนดรายละเอียดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้า พื้นที่นำร่อง เพื่อส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชน โดยอาจเป็นพื้นที่ที่อยู่ในช่วงปลายสายส่งหรือชุมชนสามารถผลิตไฟฟ้าจากวัสดุพลังงานใช้เองในชุมชนได้ และให้ กฟผ. กฟภ.และเอกชนเข้าไปร่วมลงทุน จะจ่ายไฟเข้าระบบไม่เกินปี 2565 และนำกลับมาเสนอ กพช.พิจารณาอีกครั้ง
นายสนธิรัตน์ ยังระบุว่า ยังได้หารือใน กพช.เพื่อปรับหลักเกณฑ์ โครงการโซลาร์รูฟท็อปภาคประชาชน เนื่องจากโครงการดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จโดยมียอดขอยื่นติดตั้งน้อยมาก ไม่ถึง 20 เมกะวัตต์ ทำให้ปีนี้อาจไม่ถึงเป้าหมาย 100 เมกะวัตต์ เนื่องจากครัวเรือนเห็นว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ยังไม่จูงใจที่จะให้ครัวเรือนติดตั้งโซลาร์รูฟบนหลังคา
ดังนั้น การทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่จะต้องหาแนวทางทำอย่างไรจะจูงใจให้ครัวเรือนลงทุน เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าและมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนในช่วง 3 - 4 ปี สามารถที่จะคุ้มทุนได้จากการขายไฟฟ้าส่วนเกิน เมื่อกำหนดได้ก็จะนำมาสู่การตั้งราคารับซื้อที่จะต้องทบทวนใหม่เพราะยอมรับว่าการตั้งราคารับซื้อไว้ที่ 1.68 บาทต่อหน่วย ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อให้ขายไฟฟ้าแต่ต้องการให้ประชาชนประหยัด รวมถึง วิธีการเก็บจากพลังงาน เพื่อเก็บไว้ใช้ในช่วงกลางคืน
ที่ประชุม กพช.ยังเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันปาล์มดิบ และดูแลรายได้เกษตรกรโดยเริ่มขยายส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 ให้ต่ำกว่า B7 ที่ 2 บาทต่อลิตรและลดส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมัน B20 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลที่ 3 บาทต่อลิตร โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป และเห็นชอบการบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วปี 40 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐานตั้งแต่ 1 ม.ค.2563 โดยให้น้ำมัน B7 และ B20 เป็นทางเลือก โดยเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มยอดการใช้ไบโอดีเซล B10 สิ้นปีนี้ เป็น 37 ล้านลิตร และต้นปี 2563 เพิ่มเป็น 57 ล้านลิตรต่อวัน และดูดซับดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ส่วนเกินได้ 2 ล้านตัน จากปาล์มส่วนเกินที่ 4 แสนตันในปัจจุบัน