วันนี้ (17 ต.ค.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เปิดประโยคในการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยระบุว่า
รัฐบาลนี้ไม่มีอำนาจและเคยทักท้วงเรื่องคุณสมบัตินายกฯ และการถวายสัตย์ฯ
หลังจากนั้น ประธานสภาฯ ขอให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายเข้าประเด็นงบประมาณ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุวา วันนี้รัฐบาลยังบริหารประเทศไม่ได้ เพราะก่อนเข้ารับหน้าที่ต้องถวายสัตย์ฯ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเคยยอมรับว่าถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ แต่วันนี้ก็ยังไม่ได้รับผิดชอบ
รัฐบาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นการส่งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณมาให้พิจารณา จึงไม่สามารถดำเนินการได้ พร้อมยกตัวอย่างร่างดังกล่าวเป็น "ผลไม้พิษ" ที่มาจากรัฐบาล-ครม.ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่
ต่อมาเวลา 13.23 น. ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ขอให้ประธานสภาฯ ควบคุมการประชุมตามระเบียบวาระ โดยระบุว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายไม่ตรงกับข้อบังคับและร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ โดยประธานสภาฯ ขอให้เข้าสู่เนื้อหาสาระงบประมาณ ไม่ใช่คุณสมบัตินายกฯ หรือ ครม.
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุว่า การที่ประธานสภาฯ รับพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ส่งผลให้เป็นสัตยาบรรณ ยอมรับว่ารัฐบาลถูกต้องด้วยกฎหมาย, การถวายสัตย์ฯ เป็นเพียงพิธีกรรม, รัฐธรรมนูญ 161 ไม่มีความสำคัญ, ยอมรับความเสี่ยงกระทำผิดกฎหมายของรัฐบาลด้วย
ประธานสภาฯ อาจเข้าข่ายกระทำผิดรัฐธรรมนูญ ละเลยให้มีการกระทำผิด โดยไม่ดำเนินการยุติหน้าที่ จนเกิดความเสียหายหนัก
พรรคเสรีรวมไทยจะไม่ยอมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ที่ผิดกฎหมายฉบับนี้ เพราะเท่ากับยอมรับร่างฯ ที่มาจากรัฐบาล และ ครม.ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่
5 ปี เศรษฐี 5 ตระกูล รวยพุ่ง 1 ล้านล้าน
ต่อมา 13.30 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ตัวเลขเศรษฐกิจ เดือน ก.ค.62 ว่า สถิติคนว่างงาน 6.4 แสนคน สูงกว่าปี 61 จำนวน 54,000 คน ตัวเลขที่ สศอ.จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 9.1% หนี้ครัวเรือนสูงถึง 12.98 ล้านล้านบาท และตัวเลขจากการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท แต่การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการมาตลอด 5 ปี
การติดลบของภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง แปลว่าคนไทยจับจ่ายใช้สอยน้อยลง มาจากกำลังซื้อลดลงที่เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจและความไม่เชื่อมั่น ทำให้มีการหยุดการลงทุนในรอบ 33 เดือน สะท้อนว่าประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาล
การตั้งใช้เงินกู้ตามร่างงบประมาณปี 63 จำนวน 4.69 แสนล้านบาท มีวาระซ่อนเร้นให้ท้องถิ่นเอาเงินจังหวัดที่มีอยู่ประมาณ 6 แสนล้านบาท มาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ เท่ากับรัฐต้องใช้เงินกว่าแสนล้านล้านบาท จึงตั้งคำถามว่าใช้เงินผิดวัตถุประสงค์เงินงบประมาณ ผิดวินัยการคลัง
น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุว่า ผลจากการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ไทยมีความเหลือมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย ซึ่งดูจากการลงทะเบียนคนจน 14.5 ล้านคน แต่การบริหารประเทศ 5 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ กลับทำให้เศรษฐี 5 ตระกูลมีเงินรายได้และมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ล้านล้านบาท
หาเสียงแล้วทำไม่ได้ ทำให้พี่น้องประชาชนและนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ตัวเลขเม็ดเงินส่งเสริมลงทุนไม่ถึง 2 แสนล้านบาท เรียกว่าเกิดความหายนะอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะบริหารประเทศแย่ เศรษฐกิจแย่
ตัวเลขท่องเที่ยวพบมีนักท่องเที่ยว 10.79 ล้านคน ขยายตัวแค่ 1.67% ทำรายได้ 5.3 แสนล้านบาท หรือขยายเศรษฐกิจเพียง 0.38%
น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุว่า ผลงานของรัฐที่ทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เรียกว่าการแจกเงินแบบ "เฮลิคอปเตอร์มันนี่" นักเศรษฐศาสตร์โลกเรียกว่ามาตรการสิ้นคิด เพราะมีเงินเอาไปแจกและจะทำให้คนเสียวินัยทางการเงิน
ประชาชนไม่เชื่อมั่นใจตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลแล้ว ผมไม่ได้กล่าวลอยๆ แต่ตามที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเคยสำรวจไว้ ดังนั้นตอนนี้ถ้าจะถมเงินเท่าไหร่ คงไม่ได้ผล มีแต่จะเปลืองงบภาษีของประชาชน
การแจกเงินของรัฐบาล 1,000 บาทให้คนไปท่องเที่ยวเมืองรอง เป็นการใช้เงินที่ ฉลาดน้อย เพราะไม่ได้ทำให้ประชาชนเห็นอนาคต ถ้าใช้เงินหมดแล้วจะหาเงินจากที่ไหน เพราะการท่องเที่ยวไม่ใช่ปัจจัย 4 หาตัวชี้วัดยาก
การบริหารประเทศแบบนี้ยังมองไม่เห็นว่าการทำงบฯ จะกลับเข้าไปสู่สมดุลการเงินการคลังได้อย่างไร ชาตินี้จะมีโอกาสได้เห็นสักครั้งหรือไม่ ถ้ายังทำกันแบบนี้ จัดงบฯ แบบสวนทางหมด ทั้งภาวะเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนและเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้า เป็นสัญญาณอันตราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"นายกรัฐมนตรี" ชี้แจงความจำเป็นของบฯ 3.2 ล้านล้านบาท
เช็ก! 10 อันดับ จัดสรรงบประมาณปี 2563 ก่อนเข้าสภาฯ วันนี้
ผู้นำฝ่ายค้าน จวกร่างงบฯ 63 แก้เศรษฐกิจชาติไม่ได้