วันนี้ (6 ม.ค.2563) นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวภายหลังเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยาเข้าหารือเพื่อรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง และทำแผนรับมือนำเค็ม โดยที่ประชุมรายงานว่า ภาพรวมสถานการณ์น้ำใช้การทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวม 49,789 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 61% เป็นปริมาณน้ำใช้การ 25,714 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 44% แบ่งเป็น แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่ง ปริมาณน้ำใช้การ 20,738 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 44 โดยล่าสุดมีเขื่อนขนาดใหญ่ 14 แห่งที่มีปริมาณน้ำใช้การได้น้อยกว่า 30% ขณะที่ภาพรวมค่าเฉลี่ยฝนทั้งประเทศจะน้อยกว่าค่าปกติ 3-5%
วันนี้ต้องหารือกันว่าจะต้องมีการปล่อยน้ำมากน้อยเพียงใด เพื่อบรรเทาความเค็มของน้ำประปา แต่ก็ต้องคำนึงถึงน้ำที่จะใช้ในฤดูแล้งให้สามารถใช้ได้อย่างเพียงพอไปจนถึงเดือน พ.ค.นี้ โดยวันพรุ่งนีิ้ (7 ม.ค.) ทางสทนช.เตรียมข้อมูลและนำเสนอมาตรการต่างๆนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อจัดตั้งกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และหาแนวทางการประกาศเขตภาวะน้ำแล้ง โดยคณะกรรมการลุ่มน้ำ ตาม พ.ร.บ.น้ำแห่งชาติ
นอกจากนี้จะมีการติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ และติดตามความก้าวหน้าในการใช้งบกลาง เพื่อสนับ สนุนการแก้ไขปัญหา รวมถึงความก้าวหน้าของกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับองค์กรผู้ใช้น้ำ และจัดการแผนปฏิบัติการระดับจังหวัด
ต้องพูดความจริงให้ประชาชนรู้ข้อมูลชัดเจน เพื่อไม่วิตกกังวล โดย10 ม.ค.นี้ จะมีการเปิดอำนวยการน้ำ เพื่อให้ทุกหน่วยงานต้องมีข้อมูล ถูกต้องชัดเจนในการวางแผนแก้ปัญหา และไม่กระทบต่อประชาชนในพื้นที่อื่น
"กรมชล"ยันน้ำในเขื่อนลากยาวได้จนสิ้นแล้ง
นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ฤดูแล้งปีนี้มีปริมาณน้ำต้นทุนอยู่ในเกณฑ์น้อย จึงต้องบริหารจัดการน้ำอย่างจำกัด และให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งมีเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภครักษาระบบนิเวศ สนับสนุนพืชที่ใช้น้ำน้อยหรือเกษตรต่อเนื่องบางพื้นที่เท่านั้น
ยืนยันว่าน้ำปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก 4 แห่ง เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อย และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีรวมกันอยู่ทั้งหมด 40% จะเพียงพอใช้ได้ไปจนถึงสิ้นฤดูแล้งเดือน พ.ค.นี้ ทั้งยังเผื่อฝนทิ้งช่วงอีก 3 เดือน จนกระทั่งถึงเดือนก.ค.นี้
ทั้งนี้จากน้ำจาก 4 เขื่อนหลัก ถูกระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค 7 ล้าน ลบ.ม. รักษาระบบนิเวศและผลักดันน้ำเค็ม 8 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพื่อการทำเกษตรต่อเนื่องเช่นสวนส้มโอ และอื่นๆหรือพืชที่ใช้น้ำน้อยอีก 3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งยังมีการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองอีกวันละ 4-5 ล้านลูกบาศก์เมตรเพื่อผลักดันน้ำเค็ม ซึ่งน้ำลุ่มน้ำแม่กลองยังมีมากเพียงพอที่จะผันมาข่วยลุ่มเจ้าพระยา เนื่องจากอิทธิพลของพายุโพดุล
จับตาน้ำเค็มรุกพื้นที่เกษตรแม่กลอง-ปทุมธานี
ขณะที่การตรวจวัดค่าความเค็มตอนนี้มีสถานีสูบน้ำดิบผลิตประปาสำแล จ.ปทุมธานี ยังคงมีความเค็มเกินค่ามาตรฐาน แต่จุดวัดความเค็มที่บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ยังปกติ
สำหรับเกษตรกร ได้ขอความร่วมมืองดทำนาปรังและรอให้ฝนตกรอบใหม่จึงจะเริ่มหว่านกล้าทำนาได้ซึ่งถ้าหากตัดสินใจทำในช่วงเวลานี้ จะไม่มีน้ำเพียงพอที่จะสนับสนุนต้องปล่อยยืนต้นตาย เนื่องจากได้จัดลำดับความสำคัญเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นอันดับแรก
ทั้งนี้ที่ผ่านมากรมชลประทาน มีการวางแผนเฝ้าระวังผลกระทบตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยเฝ้าระวังพื้นที่เคยเกิดในช่วงปี 2558 โดยพื้นที่ภาคกลาง มีผลกระทบในจุดล่อแหลมแถวปทุมธานี สถานีสูบน้ำสำแล และลุ่มน้ำแม่ลอง ในปีน้ำน้อยน้ำเค็มบางปีรุกมาในพื้นที่การเกษตร และเข้ามาทางพื้นที่ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี และลุ่มน้ำท่าจีน จะมีปัญหาแถวปากคลองจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม ส่วนภาคตะวันออกเคยมีปัญหา อ.กบินทร์บุรี จ.ฉะเชิงเทรา รวมทั้งชายฝั่งทะเลตะวันออก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
กษ.รับมือภัยแล้งเร่งด่วน เหตุเสี่ยงแล้งหนักนาน 6 เดือน
วิกฤตน้ำเค็มรุก! 6 ม.ค.นี้ สทนช.ถกด่วนรับแล้ง-ประปากร่อย