วันนี้ (5 มี.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.อ.จักรวาล ตั้งภากรณ์ พี่ชายของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีร่วมกันก่อเหตุอุ้มฆ่าพี่ชายของผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่เกิดเหตุเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เพื่อชี้แจงถึงกรณีที่ตำรวจพบข้อมูลว่าเป็นผู้ยืมรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ ซึ่งเป็นรถที่ตำรวจพบว่าผู้ต้องหาใช้อุ้มตัวและรุมทำร้ายพี่ชายผู้พิพากษาในรถคันดังกล่าว
พี่ชาย พ.ต.ท.บรรยิน ยืนยันว่าไม่รู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และวันนี้จะมาชี้แจงกับตำรวจ แต่ยอมรับว่าเคยยืมรถคันดังกล่าวมาเพื่อใช้หาเสียงในช่วงเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับรถคันนี้อีก โดยผู้ถือกรรมสิทธิ์รถคันดังกล่าว คือตำรวจนายหนึ่งยศ พ.ต.ท. ส่วนตัวคาดว่า พ.ต.ท.บรรยิน น่าจะยืมรถคันนี้ต่อมาจากทีมงานหาเสียง และไม่กังวลที่ถูกกล่าวหา พร้อมยืนยันความบริสุทธิ์
ยืนยันมีหลักฐาน-เส้นทางการยืมรถชัดเจน
ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า รถคันดังกล่าวชื่อผู้ครอบครอง คือ พ.ต.ท.ประเสริฐ ผลประสาร ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ใน จ.พิจิตร ทำให้ตำรวจต้องเชิญ ร.อ.จักรวาล มาให้ข้อมูล เพราะ พ.ต.ท.ประเสริฐ เจ้าของรถ อ้างว่าก่อนวันเกิดเหตุ เคยให้ ร.อ.จักรวาล ยืมรถมาใช้ แต่ไม่ทราบว่าในช่วงวันเกิดเหตุจะนำรถคันนี้ไปทำอะไร แต่ตำรวจมีหลักฐานและเส้นทางการยืมรถชัดเจน
ทั้งนี้ ในวันที่ 10 มี.ค.2563 พนักงานสอบสวนจะเชิญนางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภรรยาของ พ.ต.ท.บรรยิน มาให้ข้อมูลเรื่องจุดที่พบว่าใช้ในการเผาศพ เพราะเป็นที่ดินในความครอบครองของนางวราภรณ์
"ร.อ.จักรวาล" เข้าให้ปากคำนาน 3 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง ร.อ.จักรวาล ตั้งภากรณ์ พี่ชายของ พ.ต.ท.บรรยิน เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามนานกว่า 3 ชั่วโมง กรณีที่พบว่ารถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ ที่ตรวจพบว่าเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอุ้มตัวพี่ชายของผู้พิพากษาอาวุโส ศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ร.อ.จักรวาล กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอาวุโส แต่เป็นคนไปขอยืมรถยนต์คันดังกล่าวมาจากนายตำรวจใน จ.พิจิตร เมื่อปลายปี 2561 เพื่อนำมาใช้ในการหาเสียงให้กับลูกชาย พ.ต.ท.บรรยิน ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน จ.นครสวรรค์ ซึ่งหมุนเวียนกันใช้ในทีมหาเสียง เมื่อใช้เสร็จก็ไม่รู้ว่าทีมงานนำรถคันนี้ไปให้ใครใช้บ้าง พร้อมขอความเป็นธรรมให้สังคมเข้าใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และขอให้เชื่อมั่นในการสอบสวนของกองปราบปราม ซึ่งหลังจากนี้ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามยังไม่มีการนัดหมายเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมอีก