วันนี้ (27 มี.ค.2563) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แถลงข่าวภายหลังการประชุม ศูนย์ ศบค. ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้กล่าวชื่นชมประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือในหลาย ๆ เรื่อง เช่น การจัดที่นั่งแบบเว้นระยะห่างในรถประจำทาง และภาพของโรงงานที่จัดที่นั่งการรับประทานอาหารที่เว้นระยะห่างกัน
นายกรัฐมนตรีได้ให้ที่ประชุมเห็นภาพของสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่ง นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำเสนอภาพทิศทางของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยสะสมมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ทิศทางของผู้ป่วยใหม่ลดลงเล็กน้อย
จำนวนคนป่วยที่เพิ่มยังน่ากังวล
วันนี้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 91 ราย รวมเป็นผู้ป่วยสะสม 1,136 ราย ทั้งนี้จะเห็นว่าทิศทางผู้ป่วยในต่างจังหวัดยังมีความน่ากังวล เพราะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร ขณะตอนนี้พบผู้ป่วยกระจายอยู่ใน 52 จังหวัด คิดเป็นคนไทย 88.32 % และต่างชาติ 11.68 % แต่ทั้งนี้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังเป็นพื้นที่กลุ่มเสี่ยงอยู่ รวมไปถึงท่องเที่ยวทางภาคใต้ เช่น ภูเก็ต สงขลา และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวฝั่งตะวันออก เช่น ชลบุรี ระยอง และหัวเมืองใหญ่ในแต่ละภูมิภาค
เตรียมปรับโรงแรมเป็น รพ.รับผู้ป่วยเพิ่ม
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้รับทราบจากกระทรวงสาธารณสุขเรื่องมาตรการเตรียมความพร้อม เรื่องจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจำนวนเตียงในปัจจุบันทั้งในกรุงเทพฯ มีทั้งของภาครัฐ เอกชน และโรงพยาบาลทหาร โรงเรียนแพทย์ ได้ให้ความร่วมมืออย่างดี
ล่าสุดมีการปรับโรงแรมเป็นโรงพยาบาลเฉพาะกิจ โดยนำผู้ป่วยที่มีอาการเบา เช่น ไอ เจ็บคอ ไปรักษา โดยไม่จำเป็นต้องไปใช้เตียงในโรงพยาบาลที่ต้องใช้เครื่องมือแพทย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเตรียมไว้ใช้สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก โรงแรมใช้โดยการนำโรงแรมมาปรับใช้เป็นโรงพยาบาลเฉพาะกิจนั้น ถือว่าได้ผลดีมาก
ไฟเขียวงบกลาง 1.5 พันล้าน ซื้อเวชภัณฑ์
นอกจากนี้นายกฯ ยังได้ซักถามถึงเตียงผู้ป่วยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า มีเพียงพอหรือไม่ ซึ่งจำนวนเตียงและอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็มีเพียงพอ และครอบคุมในการรักษา ทั้งนี้จะมีการใช้ระบบออนไลน์ในการรายงานสต็อกเวชภัณฑ์ คงคลังต่างๆ โดยจะทำเป็นแบบเรียลไทม์ ซึ่งตลอดมานายกฯ ได้เน้นย้ำตลอดในเรื่องของเวชภัณฑ์ทั้งที่เป็นยาและไม่ใช่ยา ว่า มีความสำคัญเทียบเท่ากับที่ยุทโธปกรณ์ ที่จะต้องนำเข้าหรือผลิตให้เพียงพอ
ดังนั้นจึงอยากเห็นภาพที่ชัดเจนในการประชุมครั้งต่อไปด้วย รวมไปถึงการใช้งบประมาณต่างๆ ซึ่งตอนนี้ งบกลางที่มีการสนับสนุน 1,500 ล้านบาท โดยทางปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งว่า จะให้กระทรวงสาธาณสุขเป็นศูนย์จัดซื้อ และกระจายเวชภัณฑ์อุปกรณ์ทางการแพทย์ ไปทั่วประเทศเพื่อให้เกิดความสะดวกกลับโรงพยาบาลต่างๆ
ให้เอกชนเสนอชุดตรวจ COVID-19
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นอกจากนี้ในเรื่องของศูนย์ปฏิบัติการ นายกฯ ได้บอกว่า มีการอนุมัติให้บริษัทเอกชน 12 บริษัท เข้ามาจำหน่ายชุดตรวจต่างๆ ในลักษณะการตรวจเชื้อภายในโพรงจมูก ส่วนการเจาะเลือดตรวจภูมิคุ้มกันในร่างกาย ขณะนี้มีเพิ่มขึ้นอีก 3 บริษัท จึงมั่นใจได้ว่า เรื่องชุดการตรวจต่างๆ มีเพียงพอสำหรับพี่น้องประชาชน
จับตาพ่อค้าคนกลางทำไข่ไก่ราคาพุ่ง
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการรายงานผลต่อที่ประชุมฯ ถึงมาตรการการควบคุมสินค้าราคาแพง อาทิ ไข่ไก่ ที่มีรายเพิ่มสูงขึ้น เบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์ได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการ หรือฟาร์มใหญ่ๆ ประมาณ 7 ราย ซึ่งราคาขายหน้าฟาร์มอยู่ที่ 2.80 บาทต่อฟอง
“คาดว่าอาจจะมีปัญหาระหว่างพ่อค้าคนกลาง จนทำให้ราคาขายทะลุราคาที่กำหนดไว้คือ 3.50 บาทต่อฟอง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ยังสามารถขายไข่ไก่ในราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดได้อยู่”
หากประชาชนมีการพบเห็นว่ามีการขายเกินราคา สามารถแจ้งกับกรมการค้าภายในได้ ซึ่งในขณะนี้ได้มีการจับกุมและปราบปรามผู้กระทำความผิดแล้ว และจะมีการตรวจสอบลงไปในทุกพื้นที่จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยในเรื่องดังกล่าว และยืนยันว่าหากไม่มีการกักตุนประชาชนมีกินมีใช้จนพ้นวิกฤติแน่นอน
อนุโลมบริการโทรศัพท์มือถือ-เดลิเวอรี่ไม่ขึ้นค่าบริการ
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือกับผู้ประกอบการเดลิเวอร์รี่ อาทิ ไลน์แมน และแกร็บฟู๊ด เป็นต้น ซึ่งยืนยันว่าในช่วงนี้จะยังไม่มีการขึ้นราคาการให้บริการ
“ยังมีการพิจารณาถึงข้อร้องเรียนจากที่มีการปิดร้านที่ให้บริการด้านโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากห้างปิด ซึ่งทำให้มีปัญหากับผู้ใช้บริการ ที่ประชุมจึงผ่อนผันให้ศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือเปิดให้บริการประชาชนได้”
ส่วนในเรื่องขนส่งสินค้าที่ต้องมีการเข้าออกทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งได้รับร้องเรียนว่า บางจังหวัดมีปัญหา ทางปลัดกระทรวงพาณิช์จึงขอให้ผ่อนผัน
เร่งแก้ปัญหาหน้ากากยังขาดแคลน
รวมไปถึง เรื่องหน้ากากอนามัยที่มีปัญหาในขณะนี้ และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาเพิ่มเติม ทางปลัดกระทรวงพาณิชย์ จึงเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา ขอให้มีการยกระดับ จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยในระดับชาติ โดยจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการ คณะที่ 1 ส่วนคณะอนุกรรมการ คณะที่ 2 คณะอนุกำหนดราคากลางสำหรับเวชภัณฑ์ป้องกันระดับประเทศ และคณะที่ 3 คณะอนุกรรมการพิจารณาการอนุญาตส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
เรื่องหน้ากากอนามัย จะผูกโยงกับการที่ไทยรับจ้างทำหน้ากากอนามัยและผูกโยงเรื่องสิขสิทธิ จึงต้องไปดูเรื่องสัญญา ซึ่งต้องพิจารณาว่า จะต้องทำอย่างไรให้มีความเป็นธรรม เพราะมีความต้องการหน้าจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นด้วย แต่ต้องมีการพูดคุยในเรื่องกฎหมายต่าง ๆ โดยต้องความเป็นธรรมกับทุกคนแต่ต้องคำนึงถึงความต้องการของคนไทยก่อน
ยกระดับมาตรการเข้มข้นยับยั้งการแพร่ระบาด
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ทางปลัดกระทรวงมหาดไทยได้รายงานว่า จากที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานมาว่า มีบางจังหวัดเท่านั้น ที่ต้องดูแลควบคุมเป็นอย่างยิ่ง จึงมีข้อสรุปว่า
จังหวัดที่มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก และมีความเสี่ยงสูง ต้องยกระดับความเข้มข้นทุกมาตรการ ทั้งมาตรการสกัดกั้นเชื้อจากนอกพื้นที่ และมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาด คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล
กลุ่มจังหวัดตะวันออก ชลบุรี พัทยา ระยอง ส่วนกลุ่มภาคอีสาน อุบลราชธานี และจังหวัดที่ต้องเน้นหลักเป็นพิเศษคือ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดท่องเที่ยวภาคใต้ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และภูเก็ต
กต.หารือ เตรียมเครื่องบินรับคนไทยกลับจากอิตาลี
ส่วนกระทรวงต่างประเทศ ที่ประชุมได้เป็นห่วงคนไทยที่ยังอยู่ ณ ประเทศอิตาลี และต้องการเดินทางกลับประเทศไทย จึงมีการพูดคุยถึงเครื่องบินที่จะบินไปรับกลับ โดยเช่าเหมาลำไปรับคนไทยในอิตาลีกลับ และเมื่อมาถึงประเทศไทยก็จะต้องมีคนดูแลคนเหล่านี้
โดยกระทรวงต่างประเทศจะทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหามาตรการดูแล เพราะอิตาลีเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยง จึงต้องใช้พื้นที่ดูแลประชาชนที่กลับมา รวมถึงการดูแลว่า ผู้ที่จะเข้ามาต้องมีใบรับรองแพทย์ แต่ในหลายประเทศจะมีปัญหาในเรื่องของแพทย์ที่จะออกใบรับรองแพทย์ให้ได้ ซึ่งตรงนี้จะใช้โมเดลของประเทศอังกฤษในการออกใบรับรองแพทย์โดยจะให้มีการผ่อนผันจากที่กำหนดให้มีเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะรับไปดำเนินการ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้แจ้งว่าได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตามจะต้องมีการเพิ่มจุดตรวจขึ้นมา เพื่อยกระดับให้ประชาชนได้อยู่อาศัยที่บ้านมากขึ้น
เพิ่มจุดตรวจเป็น 377 จุด ทั่วประเทศ
วันนี้จะมีการเพิ่มจุดตรวจทั้งหลาย ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล รวมเป็น 377 จุด ซึ่งตรงนี้ต้องเรียนว่าเป็นมาตรการที่พวกเราจะต้องพยายามคุ้นเคยและคุ้นชิน เนื่องจากว่าไม่ใช่ภาวะปกติ เป็นภาวะฉุกเฉิน ทุกท่านมีส่วนที่จะทำให้ข้าศึกที่มองไม่เห็นนี้ลดน้อยลงไปได้ คือเราต้องกลับไปยังเคหสถานบ้านของตัวเอง ภายใน 377 จุดตรวจนั้นจะมีมาตรการการตรวจ ทำให้พี่น้องประชาชนที่สัญจนไปมามีความขรุขระอยู่บ้าง ถ้าไม่อยากลำบาก เวลาดังกล่าวก็ควรจะอยู่ที่บ้านได้แล้ว ขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีก็มีความเป็นห่วงเป็นใย ผู้ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ ต้องดูแล มีหน้ากากอนามัยครบ เพื่อเป็นการปกป้องทหารและเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วย ส่วนปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้แจ้งว่า ที่สำคัญในตอนนี้คือข่าวลวงหรือเฟคนิวส์ที่มีมากมาย ต้องมีการตรวจสอบและตรวจจับ ขอให้ทุกกระทรวงและทุกส่วนราชการได้ช่วยกันตรวจสอบตรงนี้
นอกจากนี้ประชาชนก็มีส่วนร่วมได้ ข่าวใดที่อ่านแล้วไม่ชอบมาพากล สามารถแจ้งได้ ได้รับทราบว่า มีการตรวจสอบและจับกุมเพิ่มอีกหลายคน คงจะต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายและร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป
สั่งเพิ่มคู่สาย สายด่วน 1111
ขณะที่นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำสายด่วน 1111 ซึ่งมีคนโทรเข้ามาเป็นจำนวนมาก มีคนโทรติดบ้างไม่ติดบ้าง ดังนั้นจะต้องเพิ่มคู่สาย ปรับปรุงการบริการให้กับประชาชน นอกจากนี้จะมีการเพิ่มเติมเข้าไปแจ้งทางเว็บไซต์ แอพลิเคชั่นไลน์ หรืออื่นๆ ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องจะแจ้งให้ทราบต่อไปว่ามีช่องทางใดบ้าง
โฆษก ศบค. กล่าวด้วยว่าว่า ในตอนนี้มีเรื่องต่างๆ ที่เราจะต้องมาช่วยกัน นายกรัฐมนตรีอยากจะบอกถึงการนำยาและเครื่องมือการตรวจสอบต่างๆ การรับบริจาคทั้งหลาย ต้องเปิดให้ประชาชนได้รับทราบว่า ทั้งรัฐบาลและเอกชนสามารถช่วยกันได้ ไม่ใช่รองบฯ จากรัฐบาลอย่างเดียว ซึ่งตอนนี้มีหลากหลายอย่าง ในกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวานนี้ ได้รับบริจาคยา หน้ากากอนามัย จำนวนมากทีเดียว ช่องทางที่เข้ามาไม่ใช่แค่ภาครัฐ ทุกคนสามารถบริจาคได้ เรามีคนเก่ง คนดี ทางกระทรวงสาธารณสุขได้รับจิตอาสาเข้ามาเยอะ มีรูปแบบการตรวจใหม่ๆ มีอุปกรณ์ที่ช่วยให้หมอไม่ต้องสัมผัสกับคนไข้ ซึ่งมีการคุยกันและบริจาคอีกจำนวนมาก อยากให้ตรงนี้เกิดขึ้น เป็นแหล่งรวมตัวรวมใจกัน ที่จะทำให้เราต่อสู้และฝ่าฟันไปได้
โต้แทนอนุทิน ทำเต็มที่เพื่อสนับสนุนแพทย์
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงกรณีที่บุคลาการทางการแพทย์ กล่าวถึงแนวทางการให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ หลังมีดราม่าต่อการแสดงความคิดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุขว่า กรณีนี้นายอนุทินได้อัดคลิปแสดงความเสียใจที่ได้สื่อสารต่อกรณีดังกล่าวออกไปแล้ว
อย่างไรก็ตามทั้งหมดเป็นเรื่องของชุดข้อมูลที่ได้รับรายงานในช่วงแรกว่า การติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์นั้น ไม่ได้เกี่ยวโยงกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ นายอนุทินจึงได้ให้ชุดข้อมูลตามที่ได้แสดงความคิดเห็นออกไป แต่เมื่อทราบข้อเท็จจริงก็ได้ปรับท่าทีใหม่ตามที่ได้ชี้แจงไปแล้ว
ส่วนในการดูแลขวัญและกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์นั้น ทางคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขรับทราบว่า เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ที่ผ่านมานายอนุทินได้ย้ำเสมอว่า ท่านเองไม่ใช่หมอ ไม่ได้มีความรู้ในการรักษาโรค แต่การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ทางการแพทย์โดยจะใช้เครือข่ายของท่านอย่างเต็มที่ จึงเป็นที่มาของการบริจาคต่างๆจากภาคเอกชน และจากประเทศจีน ท่านพูดภาษาจีนได้ ใกล้ชิดกับทางท่านอุปทูตจีน จึงเป็นที่มาของการให้ความร่วมมือที่เน้นแฟ้น
อย่างไรก็ตามเรื่องทุกเรื่องนี้ เราต้องก้าวผ่านไปด้วยกัน หลายเรื่องอาจเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง แต่จริงๆ แล้ว ตอนที่ท่านอนุทินมาอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข พี่น้องสาธารณสุขรักท่าน ตั้งแต่ท่านเคยคำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยแล้ว อย่างไรก็ตามแต่การทำงานเป็นธรรมดา มีบ้างที่ต้องคลุกขลักกันบ้าง แต่เชื่อว่า พวกเรามีวุฒิภาวะเพียงพอ
ยังไม่ถึงขึ้นประกาศเคอร์ฟิวส์
เมื่อถามถึงมาตรการยกระดับในพื้นที่กทม. ปริมณฑล และพัทยา จะถึงขั้นเคอร์ฟิว ห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาอย่างไร นพ.ทวิศิลป์กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดถึงเคอร์ฟิว โดยมาตรการการยกระดับขึ้นกับแต่ละจังหวัด พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการให้ปลัดมหาดไทย โดยนำข้อมูลจากสถานการณ์ของกระทรวงสาธารณสุขไปปรับใช้ในการออกมาตรการ ไม่ได้สั่งการเป็นข้อเดียวเพื่อให้ปฏิบัติเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด เบื้องต้นทราบว่า บางแห่งจะปิดเฉพาะพื้นที่ชายหาด เป็นต้น
ประเด็นรับคนไทยในอิตาลี หารืออีกที 30 มี.ค.
นพ.ทวีศิลป์กล่าวถึงแนวโน้มการจัดเครื่องบินเช่าเหมาลำเพื่อไปรับคนไทยกลับจากประเทศอิตาลีจะเป็นเมื่อไหร่ และจะมีค่าใช้จ่ายต่อคนถึง 750 ยูโรจริงหรือไม่ว่า ยังไม่ได้มีการหารือกันในรายละเอียด แต่เบื้องต้น ทางการไทยเป็นห่วงพี่น้องคนไทยในอิตาลีเป็นอย่างมาก ดังนั้นอะไรที่ผ่อนผันได้ทั้งการใช้เครื่องบิน การออกใบรับรองแพทย์ เป็นต้น เพื่อดำเนินการรับคนไทยกลับมาได้ในทุกวิธีทางก็ยินดี
โดยยังไม่ได้มีการหารือถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการรับกลับด้วย เพราะต้องพิจารณาด้วยว่า บุคคลเหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นฐานะอะไร จะใช้มาตรการเดียวกับการรับคนไทยกลับมาจากอู่ฮั่น ประเทศจีนหรือไม่นั้น ทั้งหมดจึงเป็นข้อปลีกย่อยที่กระทรวงการต่างประเทศ จะนำไปหารือกันในวันที่ 30 มี.ค.นี้ ก่อนนำไปหารือเชื่อมโยงกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อกำหนดมาตรการต่อไป