วันนี้ (12 พ.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ยอมรับว่า การเดินสายยิงเลเซอร์ข้อความความจริงต้องปรากฎบนอาคารสถานที่ราชการ เป็นกิจกรรมของคณะก้าวหน้า พร้อมทั้งแสดงความพร้อมที่จะรับทราบและสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม หากหน่วยงานภาครัฐเห็นควรตั้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดี
นอกจากนี้ยังชี้แจงถึงเจตนาการจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ว่าเป็นการทวงถามความคืบหน้าในคดีอันเกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองปี 2535 และปี 2553 ที่จะสืบเนื่องถึงการนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และคาดหวังที่จะบอกเล่าเหตุการณ์และประวัติศาสตร์การเมืองถึงคนรุ่นหลัง
ทั้งนี้ น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า การยิงเลเซอร์ คือจุดเริ่มต้นของแคมเปญ "พฤษภา 35/53 ความจริงต้องปรากฎ" หลังจากนี้จะทยอยปล่อยข้อมูลและสารคดี รวมถึงการฉายหนังออนไลน์ 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-20 พ.ค.นี้ ที่จะเป็นการเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดจนการเปิดพูดคุยกับครอบครัวของผู้สูญเสีย
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่ ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ชี้ว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ต่างก็ปฏิเสธจะให้ความเห็นใดๆ
ด้าน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการหรือกลุ่มการเมือง และเห็นว่าการพาดพิงองค์กรและสถาบันต่างๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ซึ่งฝ่ายความมั่นคงกำลังติดตามและพิจารณาทางกฏหมายอยู่
และแม้จะเรียกประชุมตำรวจสืบสวนในพื้นที่นครบาล และฝ่ายกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจ แห่งชาติ ก็ระบุเพียงว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาและเตรียมเรียกตัวมาสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ยังไม่ได้ตั้งข้อกล่าวใดๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตร.ถกยิงเลเซอร์ #ตามหาความจริง เข้าข่ายความผิดใด
โฆษกกลาโหมชี้ยิงเลเซอร์ ชี้นำให้สังคมแตกแยก
รองนายกฯ ไม่ชี้ชัดคณะก้าวหน้ายิงเลเซอร์ขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่