วันนี้ (17 พ.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา หญิงวัย 56 ปี จาก อ.หนองหาน จ.อุดรธานี นำเอกสารยื่นเรื่องต่อสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จ.อุดรธานี เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังกำลังจะถูกฟ้องร้อง ให้จ่ายเงินให้แก่บริษัทเอกชนรายหนึ่งจำนวน 15,000 บาท
ผู้ร้องเรียนให้ข้อมูลว่า เธอมีอาชีพค้าขาย เปิดร้ายขายของชำอยู่ที่ ต.ผักตบ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ต่อมาเดือนก.ค.2562 มีชาย 2 คน ซึ่งอ้างตัวเป็นเซลล์ของบริษัทเอกชนรายหนึ่ง มาชักชวนให้ติดตั้งตู้เติมเงิน ที่หน้าร้านของตน
ขณะนั้นตนไม่สนใจเพราะไม่มีเงิน แต่เซลล์ทั้ง 2 คน ก็รบเร้าให้ทดลองติดตั้ง พร้อมยืนยันว่า หากติดตั้งแล้วไม่ได้กำไร ก็สามารถคืนตู้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ร้องเรียนจึงตกลง และจ่ายเงินค่าติดตั้งจำนวน 3,900 บาท พร้อมทั้งจ่ายค่าตู้รายเดือนอีกเดือนละ 900 บาท
ผู้ร้องเรียนกล่าวว่า เวลาผ่านไปหลายเดือน ตู้เติมเงินไม่ได้กำไร เพราะมีคนใช้บริการน้อย ตนจึงแจ้งไปยังบริษัทดังกล่าวเพื่อขอคืนตู้ แต่ทางบริษัทกลับแจ้งว่า จะเรียกเก็บเงินค่ายกเลิกจำนวน 15,000 บาท ไม่เช่นนั้นจะฟ้องร้อง ซึ่งตนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และเดือดร้อนมากเพราะเป็นเงินจำนวนมาก จึงมาร้องเรียนเพื่อขอความช่วยเหลือดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ไทยพีบีเอส ได้รับแจ้งข้อมูลร้องเรียนว่า มีชาวบ้านเดือดร้อนจากการขอยกเลิกตู้เติมเงินกับบริษัทรายนี้ แต่ถูกเรียกเก็บเงิน ทั่วประเทศมีมากถึง 76 ราย
ซึ่งสำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาหรือ ส.ช.น. ได้จัดทนายความอาสาช่วยต่อสู้คดีแพ่ง ซึ่งศาลตัดสินให้ชาวบ้านชนะคดีไปแล้ว 3 ราย ทางบริษัทยอมถอนฟ้องคดีอีก 53 ราย อีก 20 อยู่ระหว่างดำเนินการ
ล่าสุด อัยการคุ้มครองสิทธิฯ จ.อุดรธานี เตรียมส่งหนังสือเชิญบริษัทมาเจรจา เพื่อหาข้อยุติในปัญหาดังกล่าว ขณะที่ผู้ร้องเรียนอีกรายหนึ่งที่ อ.ท่าลี่ จ.เลย อัยการคุ้มครองสิทธิฯ จ.เลย ก็จะดำเนินการในลักษณะเดียวกัน