"นิติธร" ชงนายกฯ ตั้งคณะกรรมการรื้อคดีโฮปเวลล์

ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงคมนาคม และ รฟท. เสนอนายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการรื้อคดีโฮปเวลล์ใหม่ มั่นใจหลักฐานแน่นและพิสูจน์ได้ หลังยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอกสารจดทะเบียนบริษัทฯ ไม่สมบูรณ์

วันนี้ (30 ก.ค.2563) นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศ (รฟท.) กล่าวว่า วันนี้ได้ยื่นคำชี้แจง พร้อมแสดงพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามคำสั่งศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับหลักฐานที่นำมายื่นแสดงเพิ่มเติม เป็นข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับการจดทะเบียนของบริษัทโฮปเวลล์ที่มีขั้นตอนการจดทะเบียนไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่เป็นไปตามมติ ครม. ซึ่งเมื่อมีการจดทะเบียนไม่ถูกต้อง แสดงว่าการมีอยู่ของบริษัทฯ ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน ไม่สามารถที่จะเข้าทำสัญญากับรัฐได้ ซึ่งจะส่งให้การทำนิติกรรมสัญญาการก่อสร้างโฮปเวลล์นั้น กลายเป็นการทำนิติกรรมสัญญาโดยมิชอบ อาจมีผลต่อการตัดสินชดใช้ค่าเสียหาย

นายนิติธร กล่าวว่า แม้ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ไม่รับคำฟ้องของกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ขอให้รื้อคดีที่อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดไปว่า กระทรวงคมนาคมและ รฟท. ต้องคืนค่าตอบแทนที่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ชำระและใช้เงินในการก่อสร้างโครงการพร้อมดอกเบี้ยราว 2.4 หมื่นล้านบาท ให้กับบริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่มั่นใจว่าศาลปกครองเล็งเห็นอยู่แล้วว่ามีการจดทะเบียนบริษัทโดยมิชอบ และมั่นใจว่าหลักฐานเอกสารที่ส่งให้ตรวจสอบเพิ่มเติมนี้มีความชัดเจนว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนในหลายประเด็น รวมทั้งบริษัทที่เข้ามาดำเนินการต่อจากรายเดิมเมื่อตรวจแล้วไม่พบว่ามีการประกอบกิจการ ซึ่งถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นายนิติธร ยังกล่าวต่อว่า ได้เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โฮชา นายกรัฐมนตรี ไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า ครม.ควรเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการยื่นฟ้องดำเนินการเอง ไม่ใช่ให้กระทรวงคมนาคม หรือ รฟท.ดำเนินการ เพราะมีฐานะเป็นผู้รับมอบอำนาจทางกฎหมายเท่านั้น และควรตั้งคณะทำงานเข้ามาดูแลเรื่องนี้ เพราะเรื่องดังกล่าวเกิดตั้งแต่ปี 2533 หากให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ดำเนินการทั้งหมดน่าจะไม่สมบูรณ์ และไม่มีอำนาจเต็มที่

หาก ครม. ดำเนินการเองเรื่องคงจบและชนะคดีแน่นอน แม้ว่าจะมีคำพิพากษาแล้วว่าต้องจ่ายเงินชดเชย แต่หากสามารถตรวจสอบถึงข้อเท็จจริงของหลักฐานได้ก็สามารถรื้อคดีพิจารณาใหม่อีกครั้ง