วันนี้ (31 ส.ค.2563) ผู้บริหารห้างค้าปลีก ระบุว่า บริษัทมีการจ้างรายชั่วโมงเฉพาะนักเรียน นักศึกษาและผู้สูงอายุตามกฎหมายที่กำหนดไว้ โดยที่ผ่านมา ช่วยให้เกิดการจ้างงานกว่า 3,000 คน และเห็นว่าการจ้างงานรายชั่วโมง เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งงานบางอย่างไม่จำเป็นต้องจ้างเต็มเวลา
ขณะเดียวกันลูกจ้างก็มีเวลามากขึ้น ซึ่งหากรัฐมีการแก้กฎหมายให้มีการจ้างงานรายชั่วโมงเป็นการทั่วไปได้ บริษัทจะสามารถรองรับพนักงานได้อีกจำนวนมากและช่วยลดปัญหาการว่างงานได้
สลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ระบุว่า ที่ผ่านมาไทยมีการจ้างงานในหลายรูปแบบ ทั้งรายวัน รายเดือน การจ้างเหมาช่วงเวลา รวมไปถึงการอนุญาตให้จ้างงานรายชั่วโมงในบางกลุ่ม ซึ่งข้อเสนอการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงเป็นการทั่วไปนั้น ถือว่าเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งและสอดคล้องกับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี เพราะงานบางอย่างไม่จำเป็นต้องทำเต็มเวลา หรือทำอยู่ในสำนักงาน ทำให้ลูกจ้างมีทางเลือกในการหารายได้มากขึ้น
ขณะที่ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาพบว่า พนักงาน 1 คน สามารถทำงานได้ถึง 2 แห่ง แต่เห็นว่าไม่ควรกำหนดอัตราค่าจ้างตายตัว เช่น ชั่วโมงละ 40 หรือ 45 บาท เพราะอัตราค่าจ้างต้องผันแปรตามค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ซึ่งแต่ละจังหวัดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่เท่ากัน ควรคิดเป็นสัดส่วนเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำเช่น ร้อยละ 75 ขณะเดียวกันอัตราค่าจ้างรายชั่วโมง จะต้องมีความเหมาะสมต่อการดำรงชีพว่าเพียงพอหรือไม่
ขณะที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุว่า กระทรวงเเรงงานจะมีการจัดงานจ็อบเอ็กซ์โป 2020 คาดว่าจะดูดซับเเรงงานได้จำนวน 1 ล้านตำแหน่ง ได้ข้อสรุปรายละเอียดเดือน ส.ค.นี้
สำหรับการจัดงานจะแบ่งออกเป็น การจ้างงานของรัฐ เอกชน และรัฐวิสาหกิจ โดยรวบรวมอัตราการจ้างงานของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ วิสาหกิจ และเอกชน เป็นบิ๊กดาต้าเพื่อลงในแพลตฟอร์ม ไทยมีงานทำ.com เฉพาะตำแหน่งงานของภาครัฐมีแน่นอน 400,000 อัตรา ภายใต้งบประมาณการจ้างงานงบประมาณปี 2563 ส่วนภาคเอกชนทั่วไปมี 94,000 อัตรา และภาคเอกชนที่เกี่ยวกับส่งออกกว่า 105,000 อัตรา