วันนี้ (23 ก.ย.2563) ที่กระทรวงยุติธรรม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. มีการจัดงานแถลงผลงานการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลการนำความยุติธรรมสู่สาธารณชน "1 ปีของการสร้างสุข ก้าวขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อประชาชน" และมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานจากกรมต่างๆ โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในงาน พร้อมด้วยอธิบดีจากทุกกรมในกระทรวงร่วมงาน
ใช้เตียง 2 ชั้น ลดแออัด
นายสมศักดิ์ แถลงว่า นโยบายการลดความแออัดในเรือนจำ ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำร้อยละ 80 เป็นนักโทษยาเสพติด และเรือนจำโดยเฉพาะเรือนนอนมีพื้นที่น้อย ผู้ต้องขัง 1 คน ต้องมีพื้นที่ 1.2 ตารางเมตร ซึ่งจะรองรับได้ 220,000 คน แต่ขณะนี้ในเรือนจำมีผู้ต้องขังมากถึง 370,000 คน เกินมากว่า 150,000 คน จึงคิดว่าจะทำอย่างไร เพราะเป็นหน้าที่ฝ่ายบริหารในการแก้ปัญหา โดยกำหนดให้สร้างเตียง 2 ชั้น หากดำเนินการได้ 80,000 เตียง จะรับผู้ต้องขังได้เป็น 300,000 คน ที่สำคัญคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการลดจำนวนผู้ต้องขัง
วันนี้เราเพิ่มได้แล้ว 50,000 เตียง ต้องทำอีก 30,000 เตียง แต่นี่คือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ส่วนการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือการลดจำนวนผู้ต้องขัง เช่น การแก้กฎหมายประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่ขณะนี้อยู่ในรัฐสภาแล้ว และการใช้กำไล EM เข้ามาเสริม
พบพฤติกรรมคนใช้กำไล EM ดีขึ้น
ส่วนการพักโทษโดยเฉพาะโทษเบา หรือผู้ต้องขังที่ใกล้จะพ้นโทษ หลักการคือต้องจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 หรือเกินครึ่งหนึ่ง โดยให้คณะกรรมการพิจารณา ที่ผ่านมาพฤติกรรมของผู้ใช้กำไล EM มีการเคารพกฎระเบียบสังคมมากขึ้น และกลับบ้านตรงเวลา การขับขี่รถดีขึ้น พฤติกรรมหลายอย่างดีขึ้น ทำให้ครอบครัวมีความสุขและสามารถติดตามได้ตลอดเวลา
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีนักโทษรุนแรงได้แก้ปัญหากันมาพอสมควร ตั้งแต่กรณีนายสมคิด พุ่มพวง ฆาตรกรต่อเนื่อง ซึ่งลักษณะนี้ต้องมีการบันทึกตั้งแต่ก่อนฟ้องคดี หรือยื่นคำฟ้องในคดีต่อเนื่องแบบนี้ไว้ ขณะนี้ได้ร่วมหารือกับสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามการแก้กฎหมายอาจใช้เวลานานเกินไปจึงต้องหาแนวทางอื่น ๆ ขณะนี้ได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (ศูนย์ JSOC) เพื่อติดตามผู้ต้องขังคดีอุกฉกรรจ์เมื่อพ้นโทษแล้ว โดยมีการติดกำไลและให้สังคมช่วยตรวจสอบ
ในช่วงที่กฎหมายยังดำเนินการไม่เรียบร้อย จำเป็นต้องทำให้สังคมมีความมั่นใจและปลอดภัย หากสังคมรู้ว่าฆาตรกรลักษณะนี้อยู่ที่ไหน จะช่วยกันสอดส่องทำให้เหตุไม่เกิดขึ้น
"สร้างอาชีพ" ลดกลับเข้าเรือนจำ
รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า นอกจากนี้ต้องมีนโยบายลดความแออัดในระยะยาว ที่ผ่านมามีผู้ต้องขังออกจากเรือนจำแล้วยังกลับมาอีกจำนวนมาก สาเหตุคือไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ ครอบครัวมีปัญหา จึงต้องสร้างงานสร้างอาชีพ เช่น นิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ คือ นำคนที่พ้นโทษมาทำงานฝึกอาชีพ และการส่งแรงงานไปต่างประเทศ เพราะหากใช้ภาษาอังกฤษได้ดีจะได้เงินมากกว่าเดิม 2 เท่า จึงส่งเสริมเรื่องภาษา รวมถึงคณิตศาสตร์ ทำบัญชีเบื้องต้นได้ นอกจากนี้ยังมีโครงการเชฟลูกกรงเหล็ก
รมว.ยุติธรรม ยังกล่าวถึงนโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ว่า ที่ผ่านมามีการฆ่าตัดตอนและปราบปรามหนัก แต่ยาเสพติดก็ยังไม่หมดไป สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นโอดีซี) มีการประเมินมูลค่ายาเสพติดที่สามเหลี่ยมทองคำ มีมูลค่ามากถึง 1.8 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาตนตั้งได้คณะกรรมการ 2-3 ชุด เพื่อช่วยงานศูนย์อำนวยการป้องกันยาเสพติดแห่งชาติ ดำเนินการเพิ่มจากการปราบปราม มาใช้เรื่องการจัดการธุรกรรมทางการเงิน
เราดูเรื่องทางเงินโดยความร่วมมือของ ป.ป.ง. ก่อนหน้านี้ยึดทรัพย์จากยาเสพติดได้ปีละ 600 ล้านบาท แต่เมื่อดำเนินการทางธุรกรรมทางการเงินไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ยึดทรัพย์ได้ 3 เท่าครึ่ง คือได้ 2,000 กว่าล้านบาท
ตั้งเป้าปี 64 ยึดทรัพย์คดียาเสพติด 6 พันล้าน
ในปี 2564 ตั้งเป้ายึดให้ได้ 10 เท่า หรือ 6,000 ล้านบาท อีกเรื่องคือการตรวจสารเสพติดในเส้นผม ซึ่งกฎหมายเก่านั้น การตรวจสารเสพติด คือ การตรวจปัสสาวะ และตรวจไม่พบเมื่อเสพเกิน 3 วัน จากสถิติเด็กในสถานพินิจที่เข้ารับการอบรมแล้ว จะมีการได้พักกลับบ้านและกลับไปลักลอบเสพยาอีกครั้ง จากปี 2561 พบร้อยละ 27-28 และปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 11 ส่วนปี 2563 ได้ให้ความรู้เรื่องการตรวจเส้นผม ทำให้เหลือตัวเลขลดลงเหลือ ร้อยละ 7 สะท้อนว่าเรื่องดังกล่าวสามารถช่วยลดผู้เสพสารเสพติดลงได้
ชี้ตรวจสารเสพติดจากเส้นผมแม่นยำ-ผลย้อนหลัง 1 ปี
รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า การตรวจจากเส้นผมสามารถตรวจสอบคนเสพยาย้อนหลังได้ 6 เดือนถึง 1 ปี โดยตรวจเส้นผมยาว 30 ซม.ขึ้นไป มีความแม่นยำมาก ตรวจแยกสารเสพติดได้ 26 ชนิด เมื่อก่อนใช้น้ำยาไปทำปฏิกิริยาให้เส้นผมละลาย ใช้เวลานานถึง 19 วัน แต่ขณะนี้ใช้นวัตกรรมนำเส้นผมมาบด ใช้เวลาเพียง 50 นาทีเท่านั้น และค่าใช้จ่ายลดลงเหลือครั้งละ 2,000 บาท
ถ้าสงสัยว่าลูกหลานของพี่น้องประชาชนเสพยาหรือไม่ สามารถส่งเส้นผมมาตรวจได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายขณะนี้ถูกลงมาก เหลือเพียงครั้งละประมาณ 2,000 บาท
นอกจากนี้ การปลดล็อกกระท่อมได้ทำไปหลายส่วนแล้ว คือแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ปลดกระท่อมออกยาเสพติดประเภทที่ 5 ซึ่งอยู่ในสภาฯ แล้ว ส่วนประมวลกฎหมายยาเสพติดกำลังแปรญัตติและเมื่อปลดเสร็จต้องมีกฎหมายพืชกระท่อม ซึ่งกระทรวงยุติธรรมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.แล้ว เพื่อให้มีกฎหมายควบคุม เพราะกังวลว่าจะมีการปลูกมากเกินไป และต้องมีการควบคุมการใช้ ไม่ให้นำไปผสมเป็น 4x100