เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2563 ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากโควิด-19 (ศบศ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจพบว่าดัชนีชี้วัดหลายตัวดีขึ้น เช่น การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ดัชนีผลผลิตสินค้าทางการเกษตรเริ่มปรับตัวดีขึ้นและกำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และยังจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่ประชุมเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ต.ค. - ธ.ค.2563 เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีการเพิ่มวงเงินซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว โครงการคนละครึ่งคาดว่าเริ่มได้ในวันที่ 23 ต.ค.นี้
“ช้อปดีมีคืน” ลดภาษีได้ เริ่มซื้อสินค้า 23 ต.ค.
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบโครงการ "ช้อปดีมีคืน" ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 30,000 บาท เริ่มตั้งแต่กลางเดือน ต.ค. - ธ.ค.นี้ ประชาชนสามารถนำใบกำกับภาษีเพื่อนำมาหักลดหย่อนภาษีในปี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงหนังสือและสินค้าโอทอป ตามจำนวนที่จ่ายจริง ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พัก ตั๋วเครื่องบิน ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.- 31 ธ.ค.2563 คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ประมาณ 4 ล้านคน
ทั้งนี้ หากประชาชนได้ใช้สิทธิ์โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ โครงการคนละครึ่งแล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้
ชง ครม.ขยายเวลา "เราเที่ยวด้วยกัน" ถึง ม.ค.64
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้มีการขยายเวลาโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ที่สิ้นสุด ต.ค.นี้ ไปสิ้นสุด ม.ค.2564 พร้อมปลดล็อกให้เที่ยวในจังหวัดได้ ซึ่งมาตรการนี้จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ คาดว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนจาก 3 โครงการ ประมาณ 200,000 ล้านบาท มาจากโครงการชิมช้อปใช้ 21,000 ล้านบาท โครงการคนละครึ่ง 60,000 ล้านบาท และโครงการช้อปดีมีคืน 120,000 ล้านบาท ไม่นับรวมโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งโครงการเราเที่ยวด้วยกันและกำลังใจ
นอกจากนี้ ยังมีการปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมสมาร์วีซ่า เพิ่มเติมกลุ่มผู้เชียวชาญอิสระ ผ่อนคลายหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เชียวชาญที่มีทักษะสูงเข้ามาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะระยะที่จะพำนักและเวลาในการรายตัวจะมีการผ่อนคลายมากขึ้น
ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ที่จะครบกำหนด ต.ค.นี้ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและเอกชนไปหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุป เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงภาระหนี้ประชาชนทุกกลุ่ม