วันนี้ (8 ต.ค.2563) นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง ทั้งการระบาดโรคโควิด-19, การชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 14 ต.ค.2563, การกลับไปใช้เกณฑ์ซื้อขายหุ้นตามปกติ, การเข้าตลาดของหุ้น บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) และการเลือกตั้งสหรัฐฯ แม้ว่าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 จะมีผลบังคับใช้ทันกำหนด ในวันที่ 1 ต.ค.2563 และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
ขณะที่ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นจะผันผวนในช่วงเดือน ต.ค. - กลางเดือน พ.ย.นี้ หลังนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง จนสัดส่วนการถือครองหุ้น อยู่ที่ร้อยละ 25.6 ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ และตลอด 8 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย มากกว่า 9 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่าปัญหากำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไตรมาสสุดท้ายของปี จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และจีดีพีทั้งปี จะอยู่ที่ติดลบร้อยละ 7.3
ลงทุนหุ้นเล็ก - กลาง เพิ่มผลตอบแทน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจหาจังหวะเข้าลงทุน เพื่อเพิ่มผลตอบแทน หลังพบเงินฝากล้นระบบ 15.57 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าระดับเม็ดเงินซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 13 ล้านล้านบาท โดยการลงทุนหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ยังสามารถสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทน พร้อมจับตาหนี้เสียธนาคาร หลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ ซึ่งปัจจุบัน มีมูลหนี้มากกว่า 7.2 ล้านล้านบาท โดยทุกร้อยละ 10 ของหนี้เสียจากการพักหนี้ จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ ต้องตั้งกันสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้น 1.7 แสนล้านบาท ส่งผลให้หนี้เสียทั้งระบบเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 3.43 เป็นร้อยละ 5.9
ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายดัชนีหลักทรัพย์ไทยในปีหน้า ที่ระดับ 1,450 จุด แต่หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง จะช่วยให้ดัชนีหลักทรัพย์ไทย เพิ่มขึ้นที่ระดับ 1,526 จุด
แนะเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
ขณะที่นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า แนะนำให้รัฐบาลเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ทดแทนอุตสาหกรรมเก่า หลังวิกฤตโควิด19 ตอกย้ำว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทย อยู่ในภาวะวิกฤต และเสี่ยงเกิดภาวะปิดกิจการ และตกงานมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ