เมื่อโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน และกลายเป็นการเพิ่มช่องทางที่เป็นความเสี่ยงให้กับเด็กพิเศษ หากไม่ได้ใช้งานอย่างระมัดระวัง
ทั้งเรื่องของการถูกบูลลี่กลั่นแกล้งรังแก หรือการถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้เด็กเข้าใจในสถานการณ์ รวมถึงการรับมือกับสิ่งต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันผู้ปกครองต้องสอดส่อง และรู้เท่าทันการโซเซียลมีเดียของลูก
เกี่ยวกับการใช้งานโซเชียลมีเดียของเด็กพิเศษ พญ.ชดาพิมพ์ เผ่าสวัสดิ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ในฐานะรองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) บอกว่า
เด็กพิเศษ หรือกลุ่มเด็กที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือบำบัดฟื้นฟูตามความต้องการของเด็กแต่ละคน เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีการใช้โซเชียลมีเดียในแต่ละช่วงเวลาของวันค่อนข้างมาก ทั้งการเล่นเกม แชท เฟซบุ๊ก ไลน์
พญ.ชดาพิมพ์ บอกด้วยว่า เด็กพิเศษเกือบทุกคนที่มาพบแพทย์ จะใช้โซเชียลมีเดีย เนื่องจากบางคนเขียนหนังสือไม่คล่อง สื่อสารได้ไม่ดี จะอาศัยการเปิดเฟซบุ๊ก ยูทูป เพื่อดูคลิป ฟังเพลง ดูการ์ตูน และสื่อต่างๆ ในยูทูปที่สามารถเข้าถึงได้
หรือกรณีตัวเด็กมีปัญหาการเข้าสังคมกับเพื่อนวัยเดียวกัน แต่เมื่ออยู่ในโซเชียลมีเดียจะได้เป็นตัวของตัวเอง เป็นบุคคลเสมือนที่สามารถพูดคุยกับกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกัน เช่น กลุ่มเล่นเกม ที่ได้ความสนุก ตื่นเต้น รู้สึกเป็นผู้ชนะ และมีการยอมรับ ขณะที่ในชีวิตจริงไม่มีสิ่งเหล่านี้
โซเชียลมีเดียมีส่วนช่วยให้เด็กพิเศษรู้สึกมีตัวตน เป็นพื้นที่ผ่อนคลายที่สามารถยืนอยู่ได้อย่างที่อยากจะเป็น แต่บางครั้งมีสิ่งที่เป็นอันตรายแฝงเข้ามา
เช่น การซื้อขายสินค้า หรือการชักจูงไปทำสิ่งที่นอกเหนือสายตาผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งที่จะเป็นอันตรายแก่เด็กอย่างมากคือการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด หรือการถูกชักจูงออกไปเจอกันข้างนอก หรือแม้แต่การพูดคุยในเรื่องที่ส่อทางเพศ
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijM8Goss3GTYibkIQTm7u8qgVbAG7K.jpg)
ซึ่งหากเป็นเด็กปกติจะสามารถรู้เท่าทันได้ แต่เด็กพิเศษจะถูกชักจูงได้ง่าย เนื่องจากสติปัญญาที่ไม่สามารถคิดแก้ไขปัญหาหรือช่วยเหลือตัวเองได้ ที่สำคัญเด็กพิเศษบางคนเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นก็มีความต้องการทางเพศ ทำให้ถูกชักจูงไปในเรื่องทางเพศได้ง่ายเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ สถาบันราชานุกูล และ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) จึงเดินหน้าโครงการผลิตสื่อมัลติมีเดียผ่านคลิปวิดีโอ “โลกละเมิดออนไลน์กับเด็กพิเศษ ตอนที่ 1-3” ซึ่งเผยแพร่ทางยูทูป Rajanukul Channel
หวังใช้สร้างการรับรู้ถึงรูปแบบภัยอันตรายทางเพศที่มากับสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กพิเศษที่สามารถดูแลตนเองได้ ให้เข้าใจความซับซ้อนของสื่อ และเกิดเป็นการระมัดระวังตัวเอง โดยเน้นย้ำในสิ่งที่เด็กต้องฝึกทำคือการปิดบทสนทนาที่ล่อแหลม ทักษะการปฏิเสธ และการรีบบอกผู้ใหญ่
ส่วนกลุ่มเด็กที่สื่อสารยังไม่ได้ หรือมีปัญหาเรื่องความเข้าใจนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู ต้องมีบทบาทในการที่จะป้องกันและช่วยเหลือเด็ก โดยต้องมีความตระหนักรู้ถึงภัย กระตือรือร้นสอดส่องการใช้มือถือ และสื่อต่างๆ ของเด็ก หากพบที่ไม่เหมาะสมให้ทำการบล็อก และคัดกรองเว็บไซต์รวมถึงช่องยูทูป
การใช้โซเชียลมีเดียของเด็กพิเศษจะไม่มีความเสี่ยง หากให้ลูกใช้งานแล้วพ่อแม่คอยติดตามการใช้ของลูก นั่งดูไปกับลูกชวนคุย ทำตัวเป็นเพื่อน ลูกก็จะไม่เป็นอันตราย
อย่างไรก็ตาม การถูกล่วงละเมิดทางเพศของเด็กพิเศษ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงจากคนใกล้ชิด ทั้งคนในบ้าน แถวบ้าน หรือในชุมชนที่คิดว่าไว้ใจได้อีกด้วย โดยมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้คนใกล้ชิดควบคุมตัวเองได้น้อยลง
“เมื่อคนใกล้ชิดเจอเด็กพิเศษที่อยู่ในบ้านและไม่ได้ระวังตัวเอง เพราะไม่รู้ว่าต้องระวัง บ้านที่ควรจะเป็นสถานที่ปลอดภัย จึงกลายเป็นพื้นที่ล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งมีเคสแบบนี้ไม่น้อยทีเดียว จึงอยากให้พ่อแม่ป้องกันตั้งแต่เริ่มต้นด้วยการให้ทุกอย่างอยู่ในสายตา สอดส่องดูแลลูกให้มากขึ้นทั้งการใช้สื่อและดำเนินชีวิตประจำวัน” พญ.ชดาพิมพ์ อธิบายเพิ่ม
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijM8Goss3GTYibkIQUd0brrE7INJZV.jpg)
เด็กพิเศษยังเผชิญกับการถูกบูลลี่ ทั้งในโลกความจริงและในโลกเสมือนอย่างโซเซียลด้วย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการ จนสามารถดูแลตัวเองและใช้ชีวิตประจำวันปกติ มีหน้าตาปกติ ทำให้คนภายนอกมองไม่ออกว่าเป็นเด็กพิเศษ
ดังนั้นเมื่อเด็กโวยวายหรือมีพฤติกรรมแปลกออกไป จากการแปลความหมายของคนอื่นหรือสถานการณ์ที่ซับซ้อนไม่ออก มักจะมีคนถ่ายคลิปวิดีโอแล้วนำไปลงในโซเชียลมีเดีย จนเกิดการแชร์ในวงกว้าง และเสนอภาพดังกล่าวซ้ำๆ จนเกิดกระแสดรามา ในขณะที่เด็กพิเศษในฐานะผู้เสียหายไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย
สิ่งที่จะช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ได้ คือการเตรียมใจเขา ให้เข้าใจว่าเก่งแล้วที่เข้าสังคมได้ แต่ยังมีความซับซ้อนของสังคมที่ต้องระวัง ค่อยๆ เรียนรู้ หากไม่แน่ใจอย่าเพิ่งตัดสิน หาคนที่ไว้ใจคุยด้วย และไม่ว่าเจอกับสถานการณ์อะไรก็ยังมีคนให้คำปรึกษา เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ทั้งหมด
“เด็กพิเศษถูกล่วงละเมิดมากโดยที่ไม่รู้ เพราะว่าเด็กบอกไม่ได้ สื่อสารยาก หากประเมินใน 10 คนจะมี 1 คน ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ส่วนกรณีกลั่นแกล้งและถูกบูลลี่โดนกันทุกคนเรียกว่าร้อยละ 100 ซึ่งหากพบเห็นเด็กพิเศษถูกกระทำ สามารถแจ้งที่ศูนย์ประชาบดี โทร 1300 สายด่วน 24 ชั่วโมง จะมีนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาช่วยดูแล หรือมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี” พญ.ชดาพิมพ์กล่าว
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijM8Goss3GTYibkIQX5BN1HKOiRpqT.jpg)
ด้าน นายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการโครงการ มสช. กล่าวว่า ปัญหาเรื่องเด็กและเยาวชนกับสื่อออนไลน์ ปกตินับว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่อยู่แล้ว และยังขาดกลไกในการแก้ไข
พอยิ่งเป็นกรณีเด็กพิเศษกับภัยจากสื่อออนไลน์ ความเปราะบางก็ยิ่งทวีคูณ ด้วยเพราะสติปัญญาและลักษณะทางกายภาพที่บกพร่อง ไม่สามารถจัดการอะไรเทียบเท่ากับเด็กปกติได้ จุดนี้เป็นสิ่งที่ มสช.มองเห็น และอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนแก้ปัญหา
“ทุกวันนี้เราพบว่าเด็กพิเศษเลยถูกกระทำเยอะ ผ่านการเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบทางจิตใจของเด็กเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นแกล้ง คุกคาม การละเมิดทางเพศผ่านช่องทางออนไลน์ พ่อแม่เองบางครั้งก็ยังไม่รู้ว่าลูกถูกทำร้าย หรือถ้ารู้ส่วนมาก็เป็นตอนปลายเหตุแล้ว
อีกทั้งขณะนี้ยังไม่มีองค์กรใดเข้ามาดูแลทั้งระบบ มสช.จึงพยายามคลี่ปัญหา และวางแนวทาง การแก้ไขปัญหาของเด็กแต่ละกลุ่ม แต่ละพื้นที่ แต่ละปัญหาเฉพาะ ปัญหาเร่งด่วน ว่าทางออกนั้นควรเป็นอย่างไร และใครควรเป็นเจ้าภาพ เบื้องต้นได้ลงไปประสานกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือแก้ไขอย่างทันท่วงที และวางแผนแก้ไขในระยะยาวร่วมกันอีกครั้ง” ผู้จัดการโครงการ มสช. ระบุ