วันนี้ (17 ก.พ.2564) นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โดยกล่าวถึงกรณีความล้มเหลวและบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งความไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภาวะผู้นำ ปัดความรับผิดชอบ ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ปล่อยปละละเลยในการกำกับดูแล หน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหม จนทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ โดย ครม.ชุดนี้ มีความพิเศษไม่เหมือนชุดใดที่เคยมีมา คือ มีอดีตผู้บัญชาการทหารบก อยู่ด้วยกันถึง 3 คน ทั้ง พล.อ.ประวิตร พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์
ใครได้ยินโปรไฟล์ของ ครม.นี้ ต้องเชื่อแน่ว่า งานบริหารด้านความมั่งคงนั้นต้องไม่แพ้ใคร แต่เอาเข้าจริง ตั้งแต่ ต้นปี 2563 กลาโหมมีแต่เรื่อง งามหน้าทั้งนั้น
พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม ปล่อยปละละเลย จนทำให้มีปัญหาทุจริต ขณะที่เหตุกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา หน่วยงานที่มีภารกิจด้านความมั่นคง อย่างกองทัพบก กลับสร้างความไม่มั่นคง และเป็นต้นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรม
ยกเคสหมู่อาร์ม จี้รัฐแก้ทุจริต - ทหารผู้น้อยถูกกดขี่
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถาม ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ถึงวันนี้จริงอยู่ว่ารัฐบาลได้เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบ กองทัพได้สอบสวนลงโทษผู้กระทำผิด ปรับปรุงระบบดูแลคลังอาวุธแล้ว แต่หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น นั้นคือนายทหารชั้นผู้น้อย หรือชั้นประทวน ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรมโดยผู้บังคับบัญชา
หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น อดีต ผบ.ทบ.ได้ตั้งศูนย์ร้องทุกข์ขึ้น อ้างว่าเรื่องร้องทุกข์ทั้งหมดจะถูกส่งไปที่ตัวท่าน เพื่อป้องกันผู้ร้อง และแก้ปัญหาไม่ชอบธรรมในกองทัพ ผมไม่รู้จะเรียกศูนย์นี้ว่า ศูนย์ร้องหรือศูนย์ออกใบมรณบัตรดี
ตัวอย่างถึงความล้มเหลวของศูนย์นี้ คือกรณี สิบเอก ณรงค์ชัย อินทรกวี หรือ หมู่อาร์ม ที่ออกมาร้องเรียนผ่านศูนย์ดังกล่าว ว่ามีการทุจริตในหน่วยงานของตน ภายใต้กรมสัมภาวุธทหารบก แต่เรื่องร้องเรียนนั้นกลับไม่ได้ส่งไปยัง ผบ.ทบ. ดันกลับไปที่ต้นสังกัด ทำให้ หมู่อาร์ม ถูกกลั่นแกล้ง ข่มขู่ คุกคามจากผู้บังคับบัญชา จนสุดท้ายนำมาซึ่งการหนีทหาร
สุดท้ายผลของการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งตั้งโดยกองทัพบกเอง มีรายงานออกมา ว่าหน่วยงานทำผิดทั้งอาญา และวินัยจริง ตามที่มีการร้องเรียน แต่สุดท้าย สิบเอก ณรงค์ชัย ก็ยังต้องออกจากราชการ นี้คือความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น
ชี้นายกฯ ปล่อยปละละเลย กองทัพใช้งบฯ ไม่โปร่งใส
ในขณะที่ประเทศกำลังประสบความยากลำบากทางการเงินการคลัง ในขณะที่หน่วยงานรัฐไล่บี้ขอคืนเบี้ยผู้สูงอายุ จนสังคมตั้งคำถามว่า อาวุธยุทโธปกรณ์กับกระดาษทิชชู่มีความจำเป็นเหมือนกันได้อย่างไร ซึ่งประเด็นไม่ได้อยู่ที่ซื้อหรือไม่ซื้อ แต่อยู่ที่ประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้จ่าย
ที่ผ่านมา งบประมาณของกระทรวงกลาโหมกลับใช้จ่ายอย่างไม่โปร่งใส น่าเคลือบแคลงตั้งแต่กางเกงในยันเรือดำน้ำ
เริ่มจากการจัดซื้อชุดลำลองทหารเกณฑ์ซึ่งมีราคาสูงกว่าราคาขายปลีกทั่วไปที่ขายในออนไลน์ ทั้งเสื้อคอวีสีเขียว ราคากลางอยู่ที่ 130 บาท แต่ใน Shopee ขายราคา 80 บาท เมื่อนำมาเทียบเสื้อผ้าเหมือนกัน รัฐจ่ายแพงไปประมาณ 39 ล้านบาท ส่วนกางเกงขาสั้นลำลอง ราคากลาง 366 บาท ราคาจัดซื้อ 365 บาท ราคา Shopee 120 บาท รัฐจ่ายแพงไป 84 ล้านบาท ส่วนรองเท้า JUNGLE BOOTS ราคากลาง 1,732 บาท ราคา Shopee อยู่ที่ 600 บาท ส่วนต่างราคา 247 ล้านบาท
จากการตรวจสอบราคากลางของกองทัพสำหรับชุดลำลองทั้งหมด แม้จะมีการปรับราคากลางลง แต่ยังพบว่าราคาแพงกว่า Shopee ทั้งสิ้น แม้แต่กางเกงในที่ราคากลางอยู่ที่ 68.5 บาท แต่ใน Shopee ราคา 34 บาท โดยรวมรัฐเสียหายเป็นเงินกว่า 417 ล้านบาท
หลังตรวจสอบจากผู้ผลิตพบว่า หากสั่งซื้อจำนวนมากจะยิ่งราคาถูกกว่าขายปลีกอีก โดยเสื้อคอวีสีเขียว ราคากลาง 130 บาท ตรวจสอบราคาจากผู้ผลิตหากสั่ง 500 ตัว ราคาจะอยู่ที่ 60 บาทเท่านั้น กางเกงในสำหรับคนทั่วไปมีไว้ใส่ แต่สำหรับนายกฯ ไทย มีไว้กิน ประเด็นนี้ทำให้เข้าใจว่าทำไมนายกฯ ปัดตกญัตติปรับทหารเกณฑ์ของพรรคก้าวไกล เพราะหากทหารเกณฑ์น้อยลง เงินที่ได้กินก็น้อยลงไปด้วย
นอกจากนี้ ครุภัณฑ์ เครื่องมือช่าง ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท กองทัพซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาขายปลีกประมาณ 47% ส่วนชุดลำลอง ราคาของกองทัพสูงกว่าราคาขายปลีกประมาณ 47% เช่นกัน ซึ่งผมเชื่อว่า เอกชนไม่ได้ขายแพง แต่มีคนกำหนดราคาไว้ให้
นี่คือความจงใจปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจ ท่านเป็น ผบ.ทบ.มากี่ปี เป็น รมว.กลาโหมมา แต่ไม่เคยแก้ปัญหานี้
นอกจากนี้ การจัดซื้อกล้องตรวจการกลางคืนแบบตาเดียว โดยมีเอกชนรายเดียวชนะประมูล 3 ปี โดยราคาเท่าราคากลางพอดี ไม่ขาด-เกินแม้แต่บาทเดียว ตั้งแต่ปีงบประมาณ 61 - 63 ทั้งยังมีกรณีกองทัพจัดซื้อรถโดยสารขนาดใหญ่ ปรับอากาศ โดย บ.อิทธิพรฯ ชนะทุกโครงการ มีคู่สัญญาเดิม 7 โครงการ 429 คัน 2,200 ล้านบาท
จดหมายลับ สัญญาซื้อเรือดำน้ำ?
นายพิจารณ์ ยังระบุอีกว่า มีการเผยแพร่จดหมายฉบับหนึ่งในสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับการซื้อเรือดำน้ำที่มีการลงนามอดีต ผบ.ทร.ก่อนจะเกษียณอายุราชการ โดยมีนายทหารเรือหลายคนบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง 2 ปีที่ผ่านมา โครงการซื้อเรือดำน้ำถูกพับไป ดังนั้น จึงมีความพยายามที่จะให้มีการลงนามก่อนวันที่ 30 ก.ย. เพื่อผูกมัด พ.ร.บ.งบประมาณให้ได้
รัฐบาลโกงเงินภาษีประชาชนจากการจัดซื้อจัดจ้างนับพันล้าน ร่างรัฐธรรมนูญปี 60 บอกว่าจะมาปราบโกง นี่คือการกระทำที่ท่านตั้งใจหล่อเลี้ยงพวกพ้องในกองทัพ ค้ำจุนอำนาจบริหาร ผมมองไม่เห็นอนาคตของไทยหากยังมีนายกฯ ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกฯ ยันเรือดำน้ำจำเป็น เพื่อนบ้านมีหมดแล้ว
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า หลายเรื่องที่กล่าวมา ทั้งหมดอยู่ที่กระบวนการในส่วนของกองทัพ โดยได้เน้นย้ำอยู่เสมอในประเด็นการป้องกันการทุจริต เพราะฉะนั้นคงต้องไปตรวจสอบอีกครั้ง พร้อมยอมรับว่าส่วนตัวห่างจากระดับล่างมาพอสมควร แต่ระดับบนนั้นได้กำกับดูแล และกำชับมาโดยตลอด
การจัดซื้ออาวุธ เรื่องนี้พูดกันหลายครั้ง แต่พูดอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจ เหตุผลและความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเรือดำน้ำ ทั้งที่เป็นการจัดซื้อจัดหา ในงบประมาณของกลาโหมเอง และงบประมาณส่วนใหญ่ของรัฐบาลก็ดูแลผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว
ส่วนการจัดซื้อวัคซีนต่าง ๆ คิดว่าเป็นความจำเป็นไม่ว่าใครจะลงนามก็เหมือนกัน แต่ต้องการจะลงนามให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ เพราะมีการแย่งกันสั่่งจองวัคซีนจำนวนมาก พร้อมย้ำว่า เรือดำน้ำนั้นประเทศรอบบ้านมีกันหมดแล้ว ยืนยัน ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากไทยไม่มีก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรเช่นกัน ใครจะรับผิดชอบในวันข้างหน้า
สำหรับเรื่องที่ดินราชพัสดุที่เข้าใจว่าเป็นที่ดินของกองทัพบก ยืนยันไม่ใช่เป็นที่ดินที่กรมธนารักษ์มอบหมายให้กลาโหมดูแลรักษา ไม่ใช่ของกองทัพบก เพราะฉะนั้นเวลาจะให้ใครใช้ก็ต้องขออนุญาต