วันนี้ (10 มี.ค.64) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าจะสร้างเรือนจำใหม่สำหรับนักโทษการเมืองว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะขณะให้สัมภาษณ์ต้องรีบไปเข้าประชุม ครม.จึงเดินคุยกันเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น อาจจะตีความกันผิดพลาดและไม่ขอโทษใคร แต่ขอชี้แจงอีกครั้งว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีแนวทางการสร้างเรือนจำสำหรับผู้ต้องขังทางการเมืองเพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน ทุกคนต้องเท่าเทียมกันหมด เวลานี้ต้องยอมรับว่า เรือนจำกลางคลองเปรมและเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ที่มีผู้ต้องขังคดีการเมืองมากขึ้นทำให้มีญาติพี่น้องและกลุ่มผู้สนับสนุนมาเยี่ยมจำนวนมากทำให้เกิดความแออัด จึงได้หารือแล้วเพื่อจะย้ายไปยังเรือนจำที่มีพื้นที่กว้างรองรับคนได้เยอะ เพื่อความสะดวกของทุกฝ่าย
“ต้องยอมรับเวลานี้ประชาชนที่สัญจรบนถนนงามวงศ์วานได้รับความเดือดร้อนต่อการชุมนุมมาก การมาหนึ่งครั้งทำให้การจราจรติดขัดหรือต้องปิดเส้นทาง ทุกคนได้รับความเดือดร้อน เราจึงต้องพยายามย้ายนักโทษที่เคลื่อนไหวทางการเมืองออกไปเพื่อลดปัญหาช่วยประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่อำนาจในการย้ายผู้ต้องขังที่เคลื่อนไหวทางการเมืองส่วนนี้ เป็นหน้าที่ ของ ผบ.เรือนจำจะตัดสินใจ ผมขอยืนยันอีกครั้งว่ามีการหารือถึงเรื่องนี้เท่านั้นไม่มีการพูดถึงการสร้างเรือนจำนักโทษการเมืองแห่งใหม่แต่อย่างใด” นายสมศักดิ์ กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุอีกว่า การสร้างเรือนจำใหม่เพิ่มเติมตนก็ไม่เคยมีแนวคิด มีแต่แผนแม่บทที่กำหนดไว้ 2 ฉบับ ตั้งแต่ปี 2547 และ 2562 ซึ่งเป็นแผนกำกับทิศทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการราชทัณฑ์ โดยจัดทำเป็นแผนงานการก่อสร้างและการย้ายเรือนจำ พ.ศ. 2562-2579 โดยแผนดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี และเมื่อมีแผนแม่บทกำหนดไว้เราก็ต้องดำเนินการไปตามแผน เพราะส่วนตัวในการก่อสร้างตนต้องการสร้างนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เพื่อให้ผู้ต้องขังมีการฝึกอาชีพและมีงานทำเมื่อพ้นโทษเท่านั้น ส่วนแนวทางการสร้างเรือนจำเอกชน เกิดจากมี ส.ส.ตั้งกระทู้ถามในสภา ตนจึงได้ให้สำนักงานกิจการยุติธรรมไปทำการศึกษาข้อมูลทางวิชาการ เพื่อนำมาตอบกระทู้และนำเสนอให้สังคมตันสินใจว่าดีหรือไม่
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ตนได้ประชุมร่วมกับกรมราชทัณฑ์ เรื่องจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำโดยเราจะเกลี่ยไม่ให้เกิดความแออัด เพราะเราได้มีการสร้างเตียงนอน 2 ชั้นและปรับเรือนนอน ทำให้รองรับผู้ต้องขังได้ 300,000 คน ซึ่งขณะนี้มีเกินมาเล็กน้อย และเมื่อมีการพักโทษโดยใช้ กำไล EM หลายเรือนจำจะโล่งขึ้น โดยขณะเดียวกันเรือนจำทั่วประเทศ ที่มีจำนวนนักโทษหนาแน่นมาก ก็ได้สั่งการให้ ผบ.เรือนจำทั่วประเทศพิจารณาความเหมาะสมในการเกลี่ยย้ายให้เสร็จภายในวันที่ 15 มี.ค. โดยได้กำชับในเรื่องการรักษาความปลอดภัยการเคลื่อนย้ายและการควบคุมโรคให้รัดกุมที่สุด