วันนี้ (18 มี.ค.64) พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่มีสมาชิกรัฐสภาอยู่เป็นองค์ประชุมในการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแต่ไม่ร่วมลงคะแนนเสียงโหวตในวาระ 3 โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภาว่า วุฒิสภาทราบอยู่แล้วว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีมติเด็ดขาดว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องผ่านการจัดทำประชามติก่อน ดังนั้นหากจะดึงดันที่จะลงมติในวาระ 3 จึงเป็นการกระทำที่สวนทางกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายวุฒิสภาจึงขอไม่ร่วมโหวตลงมติดังกล่าว ซึ่งสมาชิกรัฐสภาท่านใดที่โหวตเห็นด้วยก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนเองที่อาจจะนำสู่การยื่นฟ้องร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อถอดถอนการดำรงตำแหน่งได้ในอนาคต
ดังนั้นคะแนนเสียงในการโหวตลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ไม่ประสงค์ออกเสียงนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สมาชิกท่านพิจารณาเห็นแล้วว่าหากลงมติเห็นชอบจะขัดต่อกฎหมายอย่างแน่นอนจึงไม่ประสงค์ลงคะแนน เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง
ทั้งนี้ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ยืนยันว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในหมวด 15/1 เป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งหากจะจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้นจะต้องผ่านการทำประชามติจากประชาชนก่อน ดังนั้นจึงเห็นว่าญัตติที่เสนอโดยนายสมชาย แสวงการ และ นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ที่เสนอให้ไม่ต้องมีการลงมติในวาระ 3 จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สมาชิกรัฐสภาปฏิบัติหน้าที่โดยขัดต่อกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าวุฒิสภาไม่ใช่ไม่กล้าลงคะแนนเสียงเห็นชอบ แต่วุฒิสภาพิจารณาแล้วมองว่าการลงมติเห็นชอบในวาระ 3 เป็นการขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่ร่วมลงมติดังกล่าว เพื่อความเป็นกลางทางการเมืองและยึดถือผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก วุฒิสภาจึงไม่สามารถที่จะเดินนอกกรอบกฎหมายได้
ทั้งนี้ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญยังไม่ถึงทางตันยังสามารถที่จะเดินหน้าแก้ไขได้แต่จะต้องเป็นการแก้ไขแบบรายมาตรา ซึ่งหากจะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับก็สามารถทำได้แต่จะต้องผ่านประชามติของประชาชนเท่านั้น