เมื่อวันที่ 22 มี.ค.2564 สถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ เตือนภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea) เกิดจากการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนต้นขณะหลับ ส่งผลให้ลมหายใจผ่านน้อยกว่าปกติ หรือไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ แม้จะใช้แรงในการหายใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งภาวะความผิดปกตินี้เป็นอันตราย อาจทำให้เกิดความผิดปกติอื่นตามมาได้ ซึ่งควรได้รับการตรวจเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น จะทำให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจนและเกิดคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในเลือด จนถึงระดับที่สมองต้องสั่งการให้หายใจ ทำให้สมองถูกกระตุ้นให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกว่านอนหลับไม่สนิท
ภาวะนี้พบมากในผู้ชายประมาณร้อยละ 15 ส่วนผู้หญิงพบได้ประมาณร้อยละ 6 ของประชากรวัยกลางคน ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการนอนกรน ตื่นเช้าไม่สดชื่น ปากแห้งคอแห้ง อ่อนเพลียตอนกลางวัน หรือรู้สึกตัวตื่นมาสำลักตอนกลางคืน ถือว่ามีภาวะเสี่ยงต่อโรคและควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์
แนะกลุ่มเสี่ยงตรวจประเมินภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ขณะที่ นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผอ.สถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสถาบันประสาทวิทยามีห้องตรวจการนอนหลับชนิดที่มีคลื่นไฟฟ้าสมอง (In-Lab Polysomnogram) ซึ่งสามารถทำให้ประเมินภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นได้อย่างแม่นยำ และยังสามารถตรวจหาสาเหตุอื่นที่อาจส่งผลให้มีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น อาการขากระตุก นอนละเมอ หรือการเคลื่อนไหวผิดปกติระหว่างการนอนหลับ
กลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองคือ โรคอ้วน กลุ่มอาการอ้วนลงพุง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงในอายุน้อย ภาวะหัวใจวาย ภาวะหัวใจสั่นพลิ้ว (Atrial fibrillation) โรคเส้นเลือดหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองตีบหรือแตก โรคหืดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา และผู้ขับขี่ยานพาหนะที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการรักษาร่วมอย่างอื่น เช่น การลดน้ำหนัก หลีกเลี่ยงการนอนหงายที่จะส่งผลให้ทางเดินหายใจถูกอุดกั้นได้ง่าย การใช้ยาพ่นจมูกกลุ่ม steroid เพื่อลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก เป็นต้น ดังนั้นหากพบว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจตามมาในภายหลังได้