วันนี้ (23 มี.ค.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเป็นมาของกองข้าวปริศนานี้ เริ่มจากกองทัพเมียนมาต้องการจะส่งเสบียง จาก จ.เมียวดี ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ให้กับฐานทหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน
แต่ตลอดเส้นทางแม่น้ำสาละวิน เป็นเขตอิทธิพลของกองพล 5 กองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดของกะเหรี่ยงเคเอ็นยู แม้ระยะหลังกองทัพเมียนมาจะเริ่มเข้าตั้งหน่วยทหารริมแม่น้ำได้บ้าง แต่โดยรวมก็ยังอยู่ในวงล้อมของเคเอ็นยู
"เคเอ็นยู" ปิดเส้นทางขนส่งเสบียง
ทั้งนี้ หากเป็นสถานการณ์ปกติ กองทัพเมียนมาสามารถขนส่งเสบียงผ่านเขตอิทธิพลของเคเอ็นยูได้ แต่หลังจากการรัฐประหาร กลุ่มกะเหรี่ยงเคเอ็นยูประกาศต่อต้าน และให้ความคุ้มครองประชาชนที่ออกมาชุมนุม เส้นทางการขนส่งถูกปิดกั้น บีบให้ทหารเมียนมาออกไปจากแม่น้ำสาละวินที่ไหลผ่านรัฐกะเหรี่ยง
เมื่อส่งเสบียงตามปกติไม่ได้ มีรายงานว่าทหารเมียนมาประสานมาที่ฝ่ายความมั่นคงไทยให้อำนวยความสะดวก ขอขนส่งเสบียงข้ามจาก จ.เมียวดี เข้ามาที่ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมีรถบรรทุกของเอกชนไทยรับช่วงต่อ ขับขึ้นไปส่งที่ อ.สบเมย จากนั้นก็จะจ้างเรือเอาไปส่ง ให้ทหารเมียนมาฝ่ายตรงข้าม ระหว่างนั้นฝ่ายไทยก็พยายามเจรจากับเคเอ็นยู ให้เปิดทางขนส่งเสบียงด้วย แต่เคเอ็นยูไม่รับปาก
ชาวบ้านเรียกร้องขนข้าวสารออก
เมื่อข่าวรั่ว ทำให้การขนส่งไม่เป็นไปตามแผน รถบรรทุกมาส่งของถึงที่แล้ว แต่เคเอ็นยูออกแถลงการณ์คัดค้านการขนส่งเสบียง ระบุว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่สนับสนุนทหารเมียนมา จะไม่รับผิดชอบใดใดทั้งสิ้น จึงทำให้เรือหางยาวของชาวบ้านไม่กล้าขนส่งไปให้ทหารเมียนมาฝั่งตรงข้าม
ฝ่ายทหารเมียนมา ก็เฝ้ากองข้าวสารนี้อยู่ มีรายงานเสียงปืนดังขึ้น คล้ายเป็นการยิงขู่ของทหารเมียนมาไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง ฝ่ายเคเอ็นยูก็มีรายงานว่ากำลังหารือถึงเรื่องการส่งเสบียงจากไทยให้ทหารเมียนมา เวลานี้ชาวบ้านหวาดกลัวจะเกิดการปะทะกัน เรียกร้องให้ขนย้ายกองข้าวสารออกโดยเร็ว
ข้อมูลนี้ดูจะสวนทางกับคำอธิบายของกองทัพที่บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะข้อมูลจากในพื้นที่ระบุว่า ตลอดแนวชายแดนแม่น้ำสาละวิน ฝ่ายความมั่นคงได้เข้มงวดเรื่องการข้ามแดน การขนส่งสินค้า และการเดินเรือมาตลอดนับตั้งแต่ COVID-19 ระบาด
ขณะที่การขนส่งเสบียง น่าเชื่อว่าต้องได้รับไฟเขียวจากฝ่ายความมั่นคงก่อน นี่คือปมที่กองทัพไทยอาจจะถูกมองว่าช่วยเหลือกองทัพเมียนมาในสถานการณ์ที่นานาชาติกำลังประณามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม