วานนี้ (28 มิ.ย.2564) พ.อ.(พิเศษ) นพ.ธนะพันธ์ พิบูลย์บรรณกิจ ที่ปรึกษาแผนกโรคติดเชื้อ กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โพสต์เฟชบุ๊ก Tor Phiboonbanakit ว่า การใช้หน้ากากผ้าอาจไม่สามารถใช้ป้องกันโควิด 19 ดังนี้ เรื่องบางเรื่องถูกมองข้ามทั้งที่อยู่แค่สันจมูก.. ข้อความระบุว่า
1.กลุ่มรอวัคซีนทางเลือก เพื่อฉีดเข็ม 1 และ 2 ต้องทราบว่ากว่าจะได้มาต้องอีกอย่างน้อย 3 เดือนช่วงนี้พวกคุณจะทำอย่างไร? 2.กลุ่มที่ต้องการเข็ม 3 หลังได้วัคซีน (ภาคบังคับ) ครบ 2 เข็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหมอและบุคลากรทางการแพทย์ ตั้งสติ ต้องเป็นตัวอย่างในการรอ ให้ผลการศึกษาชัดเจน และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ จนเป็น standard recommendation
แม้ว่าแนวโน้มขณะนี้ จะเชื่อว่าคงต้องฉีดแน่ ก็เหมือนกัน ถ้าไม่วางใจผลของวัคซีน พวกเราจะทำเช่นไร? ถ้าไม่ฉีด เพราะไม่เชื่อวัคซีนที่รัฐ (บังคับ) จัดให้ หรือฉีดแล้ว แต่ก็ไม่ไว้ใจว่า วัคซีนที่ได้ว่าจะเอาอยู่ ให้ตั้งสติ แล้วย้อนกลับไปถามตัวเองว่า ที่ผ่านมา รอดจากการติดเชื้อมาได้อย่างไร?
เรามัวแต่วุ่นวายกันเรื่องชนิดของวัคซีน และปัญหาเชื้อกลายพันธุ์ จนลืม concept เบื้องต้นที่ว่า ไม่รับเชื้อไม่เป็นโควิด
นพ.ธนะพันธ์ ระบุว่า การไม่รับเชื้อโดยซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน ติดต่องานผ่าน internet ตุนของไว้กินสุด lสุดท้ายก็หมด ก็ต้องออกมาอยู่ดี ดังนั้นการซ่อนตัวไม่ใช่ทางออก นอกจากนี้การ ไม่รับเชื้อโดยใส่หน้ากากไปทุกที่ ถ้าล้างมือ ถือระยะห่างคงปลอดภัย
สิ่งที่ไม่มีใครประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนได้รับทราบคือ วันก่อนในยามที่รอบตัวมีคนติดเชื้ออยู่ไม่มาก ไปไหนมาไหนด้วยหน้ากากผ้า แม้โดยทฤษฎี จะปัองกันเชื้อออก แต่ไม่กันเชื้อเข้า อาจไม่มีผลกระทบมากนัก เพราะโอกาสเจอเชื้อสัมผัสโรคแบบจังๆ คงยาก
วันนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป มองไปทางไหน น่าสงสัยว่าจะมีคนที่มีเชื้ออยู่ ดังนั้น การที่ยังส่งเสริมการใช้หน้ากากผ้า สำหรับประชาชนทั่วไป น่าจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว
แนะรัฐจำหน่ายหน้ากาก surgical mask ราคาถูก
ข้อเสียอีกประการของหน้ากากผ้าคือ ไม่มีสันโลหะที่ใช้คีบดั้งจมูก ดังนั้นพูดไปหลุดไป อารมณ์เดียวกับใส่ surgical mask แล้วไม่ปรับลวดตรงสันจมูกให้แนบกับใบหน้าหน้ากากที่ดี ต้องสามารถปรับให้แนบกับหน้าให้มากที่สุด
ดังนั้นรัฐต้องเร่งจัดหา หน้ากากอนามัยในระดับ surgical mask แบบที่แพทย์พยาบาลใส่กันจำหน่าย ในราคาถูกหรือแจกจ่าย พร้อมประชาสัมพันธ์ แนะนำวิธีใช้ที่ถูกต้อง แก่ประชาชนทั่วไปโดยเร็ว อย่างทั่วถึง ไม่ว่าเชื้อจะกลายไปไหน ไม่ว่าวัคซีนตัวไหนจะด้อยค่าลง แต่หน้ากากอนามัย ที่ได้รับการใช้อย่างถูกต้อง ไม่เคยทำให้ผู้ใช้ผิดหวังรับรองกันได้ทุกสายพันธุ์
หน้ากากหลุดเมื่อไร เสี่ยงเมื่อนั้น ต่อให้ฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม ส่วนใหญ่หลุดตอนนั่งทานข้าว หรือ รุมส้มตำด้วยกัน หลีกเลี่ยงหน้ากากผ้า
หน้ากาก? แบบไหนเหมาะกับการใช้งาน
ต่อมา นพ.ธนะพันธ์ โพสต์รายละเอียดอีกครั้ง ยืนยันความเห็นในกรณีนี้ 6 ประเด็นว่า ชี้ให้เห็นถึงรายละเอียดหน้ากากผ้า และหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ โดยระบุว่า หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ออกแบบมาเพื่อการป้องกันเชื้อโรคขนาดต่างๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกาย ด้วยวิธีการที่ต่างกัน
สำหรับ surgical mask จะป้องกันการติดเชื้อแบบฝอยละอองขนาดเล็กที่มากับละอองเสมหะ ส่วน N95 ป้องกันอนุภาคไวรัสขนาดจิ๋ว ที่แขวนลอยมาในอากาศ ปัจจุบันในโรงพยาบาล ยังถือว่าหน้ากากอนามัยทั้ง 2 แบบเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในการป้องกันการติดเชื้อ ของระบบทางเดินหายใจสำหรับบุคลากรทางการแพทย์
ส่วนหน้ากากผ้า ส่วนใหญ่เป็นหน้ากากที่บุคคลทั่วไป นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หน้ากากผ้าจะมีความเหมือนกับหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ในด้านที่สัมผัสกับปาก จมูก และใบหน้าผู้ป่วย กล่าวคือ จะดูดซับเสมหะขนาดใหญ่ ที่ออกมา (พร้อมกับเชื้อโรค) โดยตรงจากทางเดินหายใจของผู้ใช้ เมื่อมีการพูด ไอ จาม นั่นคือความหมายที่ผมเขียนไว้ว่า ”หน้ากากผ้า (ดีพอที่จะ) กันเชื้อออก”
แต่ความต่างที่ชัดเจน ระหว่างหน้ากาก 2 ชนิดนี้ คือความสามารถในการดักกรอง เชื้อไวรัสโควิดที่ติดมากับฝอยละอองขนาดเล็ก (surgical mask) หรือมาในรูปอนุภาคขนาดจิ๋ว (N95) ที่ปลิวมาในอากาศ
หน้ากากผ้าจะมีความห่างระหว่างใยผ้า ที่กว้างกว่ารูเล็กๆ ที่ออกแบบมาสำหรับหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ นั่นคือที่มาว่า “หน้ากากผ้าไม่ดีพอจะกันเชื้อเข้า” ที่สำคัญขณะนี้ ยังไม่มีการนำหน้ากากผ้า ไม่ว่าจะมาตรฐานใด มาใช้ทดแทนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ สำหรับการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล
การใส่ให้ถูกวิธีก็สำคัญ คือต้องแนบไปกับรูปหน้า ยิ่งถ้าหน้ากากไม่มีสันที่จมูก จะเลื่อนหลุดอยู่บ่อยๆ
ดังนั้นจะได้ประโยชน์สูงสุดจากหน้ากากอนามัยในการ “ปัองกันเชื้อโควิดเข้าสู่ร่างกาย” คือ การจับกรองได้ดี และใส่ได้ถูกต้องตลอดเวลา ที่ใช้ในโพสต์ต้องการสื่อว่า ช่วงที่น่าเป็นห่วงว่าจะติดกัน คือตอนเอาหน้ากากออก ช่วงรับประทานอาหาร “ร่วมกัน” ไม่ใช่ตอนทานคนเดียว จะได้ตอบคำถามที่ว่าไม่เอาหน้ากากออกจะทานข้าวอย่างไร?
ใส่ผิดวิธีเสี่ยงติดเชื้อโควิด
ในช่วงต้นของโควิด มีคำแนะนำให้ใช้หน้ากาก “เฉพาะ” ผู้ที่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ ถ้าจำได้ มีช่วงความขาดแคลนของหน้ากากอนามัย ประกอบกับจำนวนผู้ป่วยไม่มาก ผู้ใช้หน้ากากผ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไป จึงมักไม่ค่อยได้รับผลกระทบ พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าจะใช้หน้ากากแบบใด ก็จะเสี่ยงกับการติดเชื้อไม่มากนัก
เนื่องจากโอกาสจะไปปะหน้ากับผู้ที่มีเชื้อจะน้อยมาก ยกเว้นเข้าร่วมสถานที่หรือกิจกรรมเสี่ยง แต่จะเห็นว่าแพทย์หรือบุคลากรด่านหน้าซึ่งมีความเสี่ยงที่จะสัมผัสผู้ป่วยมากกว่า ยังยึดการใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์อยู่ตลอดเวลา
นพ.ธนะพันธ์ ระบุว่าปัจจุบัน เห็นการติดเชื้อมากขึ้น ทั้งปัญหาเชื้อกลายพันธุ์ที่หลบหลีกวัคซีนได้ ประเด็นการพบผู้ป่วยมากขึ้น แปลว่า เมื่อเทียบกับปีก่อน ถ้าตอนนี้ออกไปนอกบ้าน โอกาสที่เราจะพบคนที่มีเชื้อก่อโรคโควิดอยู่จะมีมากขึ้น
ถ้าเกราะที่เราใส่ ไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอที่จะป้องกัน (เช่นกรณีหน้ากากผ้า ดังนำเสนอจุดอ่อนในการป้องกันการนำเชื้อเข้ามาในเบื้องต้น) โอกาสที่เราจะรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายก็จะมีสูงขึ้น ถ้าไม่เอ่ยปากให้คำแนะนำ ก็เปรียบเสมือนผมนั่งมองคนของเรา ถือตะเกียบไปรับหอกรับดาบของคู่ต่อสู้ ดังนั้นเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป แนวทางการปฏิบัติตัวก็ต้องปรับตามให้เหมาะสม
ในขณะที่วัคซีนยังเป็นปัญหาที่ต้องติดตาม อีกทั้งเชื้อกลายพันธุ์ที่มีอยู่รอบตัวมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่เชื้อไวรัสโควิดฝ่าไปไม่ได้ นอกจากล้างมือ ถือระยะห่างแล้ว คือการปรับมาใช้หน้ากาก ที่เชื่อมั่นได้ว่าถ้าใช้ถูกต้อง จะสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด
ด้วย concept ที่ว่า แม้เชื้อจะกลายพันธุ์ ตัวมันก็ไม่เล็กลง จนทะลุแนวป้องกันของหน้ากากอนามัยเข้ามาได้ (แต่ผ่านหน้ากากผ้าได้) ดังนั้น เมื่อเชื้อเข้ามาไม่ได้ เราก็จะไม่ติดเชื้อ
สรุป หน้ากากผ้า เหมาะกับคนป่วย ใช้เพื่อลดการแพร่เชื้อ หน้ากากอนามัยเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่ป่วย ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ถ้าจะใส่ 2 ชั้น หน้ากากอนามัยแนบหน้า หน้ากากผ้า เอาไว้ข้างนอก เสมอ
ขออนุญาตร่ายยาว เพื่อให้ครบถ้วนกระบวนความ เพราะตอนที่โพสต์กระทู้ไปเมื่อวาน อารมย์เหมือนตอนผมราวด์กับนักเรียนแพทย์ ซึ่งไม่ได้อธิบายความโดยละเอียด เพราะไม่คาดว่าเรื่องนี้จะได้รับการแชร์ออกไป จนเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไปด้วย โพสต์นี้ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ กับใคร เพียงแต่ผมอยากนอนหลับฝันดีเท่านั้น