นับเป็นการชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำชั้นหยวน S26T ลำที่ 2 และ 3 ของกองทัพเรือ ออกไป เป็นครั้งที่ 3 โดยครั้งแรกเป็นการตัดงบฯ ตามพระราชบัญญัติโอนคืนงบประมาณเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา COVID-19 ของกองทัพเรือวงเงินราว 4,130 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบฯโครงการเรือดำน้ำถึง 3,375 ล้านบาท
ครั้งที่ 2 ถูกตัดงบฯ ในขั้นคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณปี 2564 วงเงิน 3,925 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อเนื่องในสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย และมีแนวโน้มการระบาดรุนแรงมากขึ้น
ทำให้กองทัพเรือได้เจรจากับจีน เพื่อขอลดวงเงินผูกผันงวดแรกในการจัดซื้อลำที่ 2-3 ลง ซึ่งทางการจีนตกลงให้กองทัพเรือสามารถจ่ายเงิน 1 ใน 3 หรือ1ใน 4
กองทัพเรือจึงได้ตั้งงบประมาณ สำหรับโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ไว้ที่ 900 ล้านบาท จากงบฯ ทั้งโครงการ 22,500 ล้านบาท แต่ในที่สุดก็ต้องชะลอการขอประมาณส่วนนี้ออกไปอีกครั้ง หลังจากถูกกระแสสังคมกดดันอย่างหนักในช่วง 2 วันที่ผ่านมา
รวมทั้งการส่งสัญญาณจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้กองทัพเรือต้องถอดจากการขออนุมัติงบประมาณ เพราะสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจจาก COVID-19
ตามแผนเดิมกองทัพเรือกำหนดกรอบวงเงินจัดซื้อเรือดำน้ำ S26T แบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีกับรัฐบาลจีน 3 ลำ วงเงิน 36,000 ล้านบาท โดยดำเนินการจัดซื้อลำแรกไปแล้วภายใต้งบประมาณผูกพัน 7 ปี คือ 2560 -2566 และใช้เวลาต่อเรือ 6 ปี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งรัดให้จีนต่อเรือให้เสร็จทันเวลา เนื่องจากอู่ต่อเรือดำน้ำที่เมืองอู่ฮั่นอยู่ในพื้นที่การแพร่ระบาดของ COVID-19
ส่วนลำที่ 2 และ 3 จะทยอยจัดซื้อให้แล้วเสร็จภายใน 11 ปี เพื่อให้กองทัพเรือมีเรือดำน้ำหมุนเวียนใช้งานครบ 3 ลำในปี 2570 แต่ปัจจุบันเส้นทางการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ที่ต้องชะลอไปก่อนในปีงบประมาณ 2565 และคงเดินหน้าได้ยากลำบากมากขึ้น และอาจกระทบไปถึงงบประมาณก่อสร้างที่จอดเรือ
ซึ่งกองทัพเรือเตรียมเจรจากับทางการจีน เพื่อปรับข้อตกลงอีกครั้ง และใช้ความพยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนต่อไป โดยเฉพาะการอ้างอิงเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่จัดหาเรือดำน้ำรองรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางทะเล