วันนี้ (2 ก.ย.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.00 น. การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันที่ 3 ประเดิมอภิปรายคนแรก คือ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดย 2 วันใช้เวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 วันใช้ไปแล้วทั้งหมด 25 ชม. 47 นาที พรรคร่วมฝ่ายค้านใช้ 21 ชั่วโมง 29 นาที เหลือ 18 ชั่วโมง 30 นาที พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลใช้ 29 นาที เหลือ 2 ชั่วโมง คณะรัฐมนตรีใช้ 2 ชั่วโมง 55 นาที ประธานสภาฯ ใช้เวลาไป 53 นาที
น.ส.จิราพร อภิปรายว่า ขอทำหน้าที่ในการทวงคืนความยุติธรรมให้กับทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย และทุกชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการบริหารราชการ ล้มเหลว ผิดพลาด บกพร่องของนายกรัฐมนตรี และจะพาดพิงถึงนายอนุทิน โดยเห็นว่า ที่ประชุมแห่งนี้ ไม่ควรใช้สภาฯ ในการอภิปรายขับไล่นายกฯ ถึง 3 ครั้ง จะขอใช้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
เทียบอดีตทักษิณ รับมือโรคระบาดดีกว่า
น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี เป็นบิดาแห่งเผด็จการราชการรวมศูนย์ เคยชินกับกองทัพ เคยชินกับใช้ ม.44 เพราะมีทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และรวบอำนาจพ.ร.บ.40 ฉบับ แต่อำนาจต้องมาพร้อมกับความสามารถและความรับผิดชอบ แต่ตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าตำแหน่งนายกฯ เกินความสามารถของท่าน
เทียบการบริหารในสถานการณ์วิกฤต สมัยอดีตนายกฯ ทักษิณ เจอทั้งสึนามิ ไข้หวัดนก และโรคซาร์ส ก็ยังจัดการได้ จนเป็นต้นแบบของโลก ประกาศไม่รับบริจาคให้ความช่วยเหลือประเทศอื่น ในยุคทักษิณไข้หวัดนก ใช้แค่พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อเพียงฉบับเดียว
ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตั้งศบค. แต่กลับเพิ่มความสับสนให้ประชาชน ทั้งที่ช่วงแรกการระบาดไทยรับมือดีจากบุญเก่าที่มีการวางระบบสาธารณสุขไว้ ดี จนถึงตอนนี้ระบบสาธารณสุขล้มเหลว เศรษฐกิจพัง ข้อสั่งการในครม.เป็นวาทะกรรมที่เชื่อถือไม่ได้ เป็นนายกที่บริหารประเทศด้วยการ กลืนน้ำลายตัวเอง
น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี บอกมีสมองอันน้อยนิด แต่อย่างฉลาดมาก ในเรื่องที่สังคมสงสัย ท่านจะไม่ตอบชี้แจงเอง เพราะรู้ว่าไม่เหลือเครดิตอะไรแล้ว แต่จะให้ข้าราชการมาตอบคำถามและตัวเองตอบเพียงว่าสวดมนต์ทุกวันไม่มีวันโกง
นายกฯ รู้จักคำว่ามือถือสาก ปากถือศีลหรือไม่ การที่ส.ส.ประเสริฐ จันทรวงทอง อภิปรายเพื่อจะชี้ว่า ท่านมีพฤติกรรมส่อในทางทุจริต และตอนนี้คนทั้งประเทศรอฟังคำตอบว่าท่านทุจริตจริงหรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำต้องงัดหลักฐานมาชี้แจง ไม่ใช่อ้างสวดมนต์บังหน้า
ไทยซื้อ "ซิโนแวค" แพงกว่า-ทวงคำตอบเงินทอน
น.ส.จิราพร กล่าวว่า การซื้อวัคซีนซิโนแวค สิ่งที่นายกฯ และนายอนุทิน ต้องตอบประชาชนคือ งบฯ จัดซื้อวัคซีน 10.9 ล้านโดส ราคา 17.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อโดส ไม่พอ จึงของบฯ กลางผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ โดยมีเงื่อนไขว่า อย่าซื้อเพียงยี่ห้อเดียว แต่ต้องซื้อยี่ห้อที่สามารถป้องกันสายพันธุ์ใหม่ควบคู่ไปด้วย หมายถึงต้องซื้อแบบทูอินวัน แต่ไม่ปฏิบัติตามมติดังกล่าว จึงแสดงถึงพฤติกรรมที่ไม่ตรงไปตรงมาและส่อทุจริต
นอกจากนี้ยังระบุว่า อ้างว่าหนังสือพิมพ์ชื่อดังในสหรัฐฯ เคยตีพิมพ์ว่าบริษัทซิโนแวค เคยมีประวัติติดสินบนหน่วยงานรัฐ แบบนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการที่ไทยไม่ซื้อวัคซีนโมเดอร์นา ไฟเซอร์ของสหรัฐฯ จอห์นสันฯ เพราะไม่ได้เงินทอนใช่หรือไม่ เพราะสหรัฐฯ มีกฎหมายที่ห้ามบริษัทอเมริกาและตัวแทนจ่ายเงินสินบนหรือค่าคอมมิชชัน ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เลือกซื้อวัคซีนดังกล่าว
น.ส.จิราพร กล่าวอีกว่า วัคซีนดีๆ ที่นำมาฉีดในไทย เป็นวัคซีนที่ได้รับบริจาคทั้งนั้น เพราะตอนเอกชนจะขอนำเข้าทั้ง 3 ตัว ก็ถูกยื้อจนนำเข้าล่าช้า แต่ไทยยังมีพฤติกรรมการซื้อประหลาด ทั้งที่ช่วงวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา มีสายพันธุ์เดลตาระบาด หลายประเทศปรับแผนยกเลิกซื้อซิโนแวค แม้แต่สิงคโปร์ ประกาศไม่รับคนฉีดซิโนแวคในระบบ
หรือแม้แต่ผอ.ศูนย์ควบคุมโรค ของจีน ก็ออกมายอมรับตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า กังวลประสิทธิภาพวัคซีนซิโนแวคต่ำ เมื่อจีนไม่มั่นใจวัคซีนตัวเอง แต่ไทยยังเดินหน้าซื้อ และวันที่ 17 ส.ค.ซื้ออีก 12 ลานโดส ไม่ได้ด้อยค่าวัคซีนซิโนแวค แต่ท่านกลับด้อยค่าประชาชน
ส่วนต่างเงินซิโนแวคหายไปไหน เงินทอนมีหรือไม่ เพราะอนุมัติซื้อวัคซีน 10.9 ล้านโดส วงเงิน 6,000 ล้านบาท เฉลี่ยโดสละ 17 เหรียญสหรัฐฯ ถ้าตีกรรเชียงตอบว่า ฝ่ายปฏิบัติไปเจรจาจนได้ราคาต่ำกว่า ถือเป็นผลงานรัฐบาลไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนอยากได้ยิน
แซวอนุทิน เกิดที่ "ซิโนทัย” แต่เติบใหญ่ที่ “ซิโนแวค”
น.ส.จิราพร ยังนำสไลด์เรื่องการจัดซื้อซิโนแวคทั้ง 5 ครั้งที่ขอจัดซื้อ 17 เหรียญต่อโดสในครั้งที่ 1 และ 2 และครั้งที่ 3 ซื้อจริง 14 เหรียญสหรัฐฯ ต่อโดส แต่ทำไมให้ครม.อนุมัติในราคา 17 เหรียญสหรัฐฯ ต่อโดส
ส่วนครั้งที่ 4 ราคา 9.5 เหรียญต่อโดสแต่มาขออนุมัติ 17 เหรียญสหรัฐฯ และครั้งที่ 5 ราคา 9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อโดส ยิ่งน่าสงสัยว่าถ้าซื้อในราคาดังกล่าวทำไม่ขอซื้อในราคาเดิม เพราะต้องเจรจาก่อน ไม่ใช่ขอเงินเกินราคา ทั้งที่ยิ่งซื้อราคายิ่งลดลง ราคาเริ่มลดลงตั้งแต่เม.ย.ที่ผ่านมา
ดังนั้นเงินส่วนต่างที่ขออนุมัติครม. จำนวน 5,562 ล้านบาทแต่ซื้อจริง 3,959 ล้านบาท ส่วนต่างราคา 1,603 ล้านบาท ที่คนสงสัยว่าเป็นเงินทอน ประเด็นนี้นายกฯและนายอนุทิน ยังไม่ตอบสภาฯ ให้ชัดเจน
อยากถามว่า ถ้าเป็นเงินของท่านจะซื้อหรือไม่ ส่วนนายอนุทิน อย่าให้คนคิดว่าท่านเกิดที่ “ซิโนทัย” แต่ไปเติบใหญ่ที่ “ซิโนแวค”
ประกาศยื่นป.ป.ช.สอบทุจริต-ขอนำเอกสารมาแสดง
นอกจากนี้ น.ส.จิราพร เทียบราคาซิโนแวคระหว่างไทยกับต่างประเทศ มีคำถามไทยทำไมซื้อแพงกว่า 100 บาทต่อโดส ไทย 542.50 บาท อินโดนีเซีย 440 บาท อินเดีย 439 บาท ฟิลิปปินส์ 426 บาท ต่อโดส
รัฐบาลบอกว่า ไทยไม่เข้าร่วมโครงการ COVAX เพราะว่า สามารถซื้อวัคซีนกับบริษัทโดยตรงได้ ถูกกว่าแล้วนี่คืออะไร ทำไมเราถึงซื้อวัคซีนซิโนแวค แพงกว่าประเทศในโครงการ COVAX โดสละ 100 บาท รวมแล้วเป็นเงินกว่า 2,000 ล้านบาท
ถ้าจะให้สิ้นสงสัย อยากให้นายกฯ นำหลักฐานมาแสดง อ้างว่ามีแค่ใบสั่งซื้อขอให้นำมาแสดงในสภา โดยเฉพาะการจ่ายเงินที่กรมควบคุมโรคจ่ายให้ อภ.และอภ.จ่ายให้ซิโนแวคทั้ง 5 ครั้ง ต้องนำหลักฐานการจ่ายเงินมาแสดงต่อสภาฯ เป็นเรื่องที่เปิดเผยได้ต่อสาธารณชน
การอ้างว่าทำสัญญาแบบจีทูจี เป็นแบบเก๊หรือไม่ เพราะถ้ามีการชำระภาษี เท่ากับการซื้อกับเอกชน ไม่ใช่แบบจีทูจี
ถ้าท่านไม่ตอบ หรือตอบแล้วไม่ชัดเจน จะฟันธงว่าท่านส่อทุจริตค้าความตาย หากินบนซากศพ และคราบนำตาประชาชน ถ้าไม่ตอบขอให้ดูปาก “พูดหยุดโกง” และรอดูพรรคเตรียมยื่นกับป.ป.ช.ได้
ATK ไม่ใช่ ATM ไว้กดเงินจากโครงการ
ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังอภิปรายถึงประเด็นการจัดซื้อ ATK 8.5 ล้านชุด ระวังประชาชนจะสงสัยว่าท่านกำลังมอง ATK เป็น ATM หรือไม่ มันต่างกันเพราะ ATK ใช้แยงจมูกตรวจโควิด แต่ท่านมอง ATM เพราะคนอาจคิดว่าท่านกดเงินจากโครงการนี้หรือไม่
ทั้งนี้ในการประชุมเมื่อวันที่ 31 ส.ค. นายกฯ ได้ชี้แจงกลางสภา แต่เป็นการโกหกกลางสภาเต็มๆ ในการตอบประเด็นอภิปรายของส.ส.ชลน่าน ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องให้จัดซื้อ แล้วจะมีข้อสั่งการเรื่องต้องมีการรับรอง WHO และเปลี่ยนในอีก 3 วันว่าไม่ต้องผ่าน WHO เพราะเป็นการล้มโต๊ะประมูล ทำให้เห็นว่าคำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ ท่านไม่ต้องเสียเวลาไปถอดเทปเพราะมีหลักฐานมา
ประชุมศบค.16 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลา 13.30 น.ผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรน ในหน้า 17 มีข้อสั่งการนายกฯการเร่งจัดหา ATK ที่ผ่านการรับรองอย.ในไทยได้รับการรับรองจาก WHO และต้องมีความแม่นยำในการตรวจ และนำไปสู่การรักษา ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์ สั่งการเองและมีลายเซนต์เสนอเข้าครม.เอง
นอกจากนี้ในการประชุมศบค.จะมีข้อสั่งการที่ฟุ่มเฟือยที่สุดไม่น้อยกว่า 200 ข้อสั่งการ แต่เป็นข้อสั่งการที่เป็นเพียงวาทกรรม ไร้นำยา ทำล้มเหลวเอง จึงทำให้ประชาชนเดือดร้อน
ต่อมาเวลา 10.00 น.นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.พรรคภูมิใจ ได้ขอลุกขึ้นประท้วงที่น.ส.จิราพร เพราะไม่อยากให้อภิปรายในประเด็นเดิม ควรจะมีข้อมูลใหม่ จนทำให้น.ส.ธีระรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ลุกขึ้นประท้วงพร้อมขอให้นายศุภชัย เลิกทำตัวเป็นองครักษ์ และหยุดประท้วงก่อกวน เพราะมองว่ามีข้อมูลใหม่ จนทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯขอให้ถอนคำพูด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทยติดโควิดรายใหม่ 14,956 เสียชีวิตเพิ่มอีก 262 คน