วันนี้ (30 ก.ย.2564) จากกรณีที่ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (1 ต.ค.2564) โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ จะมีผลบังคับใช้ โดยปรับโครงสร้าง ทั้งเชิงปริมาณจากมวน ละ 1.20 บาท เป็น 1.25 บาท และเชิงมูลค่าที่ 40% เป็น 42 % กรณีบุหรี่ราคาเกินซองละ 72 บาท และต่ำกว่าซองละ 72 บาท เก็บภาษีใหม่ที่ 25 % จากเดิม 20 % โดยไม่มีการทบทวนภาษียาเส้นใหม่ เนื่องจาก เพิ่งปรับอัตราใหม่ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมฯ เตรียมลงพื้นที่ตรวจสต็อกบุหรี่ผู้ค้าปลีกค้าส่งทั่วประเทศ พร้อมสั่งผู้ผลิตผู้นำเข้า รายงานโครงสร้างราคาบุหรี่ใหม่ คาดว่า บุหรี่ที่เสียภาษีโครงสร้างเก่าในตลาดจะขายหมดใน 2 สัปดาห์
ผู้บริโภคบุหรี่สามารถสแกนสแตมป์บุหรี่ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นบุหรี่ที่เสียภาษีใหม่หรือไม่ หากพบการขายเกินราคาโดยอ้างว่า ปรับขึ้นจากภาษีใหม่สามารถร้องเรียนเพื่อเอาผิด ซึ่งระวางโทษปรับ 2 เท่าและเงินเพิ่มร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยราคาขายปลีกบุหรี่ ในกลุ่มราคาสูงจะเพิ่มขี้นซองละ 7-10 บาท ส่วนบุหรี่ตลาดรองจะเพิ่มขึ้นซองละ 5-7 บาท จากราคาปัจจุบัน
นายลวรณ ยืนยันว่า โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ ตอบโจทย์ 4 ด้าน หลังประเมินว่า ภาษีอัตราใหม่ จะทำให้ผู้สูบบุหรี่ลดลงช่วงแรก 3 % แต่ตลาดการค้าบุหรี่ จะค่อยๆปรับกลยุทธ์ ไม่กระทบการจัดเก็บรายได้ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาท จากปัจจุบัน จัดเก็บภาษีบุหรี่ไม่รวมรายได้จากกองทุนฯและมหาดไทย ไม่น้อยกว่าปีละ 62,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ยังกำหนดให้ สสส.สนับสนุนความรู้การปลูกพืชทดแทน ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบอย่างเป็นรูปธรรม และเชื่อว่า การปรับกรอบราคาแนะนำ จากเดิม 60 บาท เป็น 72 บาท จะช่วยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าบุหรี่ สามารถแข่งขันราคาในตลาด และไม่กระทบผู้ปลูกใบยาสูบมากเกินไป เมื่อเทียบจากเดิม ที่โรงงานยาสูบ ไม่สามารถแข่งขันได้ หลังผู้นำเข้าบุหรี่ กดราคาขายลงมา
นอกจากนี้ ครม.ยังกำหนดให้ กรมสรรพสามิต ติดตามผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ ทั้งระยะกลาง และระยะยาว เพื่อพิจารณาความเหมาะสม ก่อนปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ให้เป็นอัตราเดียว โดยจะพิจารณาการประกาศใช้ในภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวดี กำลังซื้อกลับมาปกติ
ส่วนการติดตามปัญหาบุหรี่หนีภาษีนั้น กรมฯ ได้พัฒนาระบบวิเคราะห์ และตรวจจับเครือข่ายลักลอบนำเข้าบุหรี่ ซึ่งปัจจุบันกันไปดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมย้ำว่า การดำเนินการจับกุมบุหรี่เถื่อน นับจากนี้ จะไม่ใช่แค่การจับผู้กระทำผิดหน้าร้านค้ารายย่อย แต่เป็นขบวนการค้าล็อตใหญ่แน่นอน