การประชุมศูนย์ปฏิบัติการทางการแพทย์และสาธารณสุขฉุกเฉิน กรณีโรคโควิด-19 หรือ EOC กระทรวงสาธารณสุข ที่มี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ในวันพรุ่งนี้ (11 ต.ค.2564) อนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนจะนำเสนอแผนการฉีดวัคซีนสูตรไขว้เพิ่มเติม คือ แอสตราเซเนกา ตามด้วย ไฟเซอร์
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แม้ขณะนี้ปริมาณวัคซีนที่เข้ามาจะเพียงพอ แต่ก็ยังพิจารณาให้มีวัคซีนสูตรไขว้เพราะต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นโดยเร็ว ระยะห่างประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ ซึ่งการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ในต่างประเทศก็ดำเนินการเช่นเดียวกัน
ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาครบ 2 เข็ม ขณะนี้ยังไม่มีแนวทางว่า จะต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เนื่องจากภูมิคุ้มกันขึ้นสูงและอยู่ได้นาน ซึ่งในต่างประเทศก็ไม่ได้มีการฉีดบูสเตอร์ ขณะที่วัคซีนซิโนแวคก็คาดว่าในเดือน ต.ค.นี้น่าจะหมดแล้ว
ตามแผนการจัดหาวัคซีนในเดือนนี้ จำนวน 24 ล้านโดส ประกอบด้วย ซิโนแวค 6 ล้านโดส แอสตราเซนเนกา 10 ล้านโดส และไฟเซอร์ 8 ล้านโดส
ในสัปดาห์นี้คาดว่า จะได้ข้อสรุปการฉีดวัคไฟเซอร์เข็มที่ 2 ให้เด็กผู้ชายหรือไม่ หลังมีข้อมูลผลข้างเคียงของวัคซีนชนิด mRNA ที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ข้อมูลทั่วโลกอยู่ที่ 6 คนต่อการฉีด 1 แสนโดส พบมากในเด็กผู้ชาย ซึ่งอาการส่วนใหญ่จะหายเองได้ ส่วนเด็กผู้หญิงมีคำแนะนำให้รับเข็มที่ 2 ได้ตามปกติ
สำหรับข้อมูลการฉีดวัคซีน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม มีจำนวนสะสม 59.3 ล้านคน ใน 77 จังหวัด ฉีดเข็มแรก 34.6 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 52 ของประชากร เข็มที่สอง 22.9 ล้านโดส หรือร้อยละ 34 ของประชากร และเข็มที่ 3 จำนวน 1.6 ล้านโดส