"ศักดิ์สยาม" ยัน "ตั๋วร่วม" ไม่ล่าช้า แต่ต้องรอบคอบ หวั่นเสียค่าโง่

การเมือง
18 ก.พ. 65
17:13
346
Logo Thai PBS
"ศักดิ์สยาม" ยัน "ตั๋วร่วม" ไม่ล่าช้า แต่ต้องรอบคอบ หวั่นเสียค่าโง่
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ยืนยันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ไม่ล่าช้า ส่วน "ตั๋วรอบ" ต้องทำรอบคอบ หวั่นเสียค่าโง่ เตรียมเสนอ ครม.กลางปี 65 ชี้ปีนี้ไทยลงทุนโครงการสำคัญ 1.4 ล้านล้านบาท คาดเกิดการจ้างงาน 1.54 ตำแหน่ง

วันนี้ (18 ก.พ.2565) ในการอภิปรายทั่วไป เวลา 16.10 น. ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ชี้แจงว่าการแก้ปัญหามีเรื่องของระเบียบและกฎหมายที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ แต่ขอให้ ส.ส.สบายใจว่าการดำเนินการทุกขั้นตอนยึดหลักประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชน ส่วนที่หลายคนกังวลว่าล่าช้า ยืนยันว่าไม่ล่าช้า แต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ระยะเวลา หากนำโครงการย่อยมาพิจารณาแยกจากกันจะไม่เห็นทิศทางในภาพรวม

นายศักดิ์สยาม กล่าวถึงประเด็นการขนส่งสินค้า ขนส่งคนภายในเมือง และการแก้ปัญหาคมนาคมระหว่างเมือง รวมทั้งภูมิภาค ว่า กระทรวงคมนาคม เป็นกระทรวงหลักรับผิดชอบดูแลการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เป็นโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคของประเทศ แม้สถานการณ์ COVID-19 แต่กระทรวงไม่ได้หยุด หรือชะงักการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน รองรับการค้าการลงทุน และลดต้นทุนโลจิสติกส์ด้านการขนส่ง ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย

การแก้ปัญหาโครงการก่อสร้างถนนพระราม 2 ขณะนี้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการใดที่ดำเนินการได้จะเร่งดำเนินการ ส่วนโครงการใดติดปัญหาจะเร่งทำความเข้าใจกับประชาชน โดยยึดหลักสร้างความสะดวกรวดเร็ว และเสียค่าใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผล โดยบูรณาการการขนส่งทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ

"ตั๋วร่วม" เตรียมชงเข้า ครม.

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า การพัฒนาระบบการเดินทางของคนในเมือง ซึ่งผู้อภิปรายเสนอให้ใช้ระบบตั๋วร่วม เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว สะดวก ปลอดภัยและประหยัด ขณะนี้มีระบบรถไฟฟ้า 14 สายทาง ระยะทาง 554 กม. ครอบคลุม กทม.และปริมณฑล ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะเชื่อมทั้งระบบล้อ ราง เรือ ให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเดินทาง แต่เรื่องดังกล่าวมีกฎหมาย ระเบียบที่ต้องปฏิบัติอย่างรอบคอบ รวมทั้งแก้ปัญหาในอดีต โดยนายกฯ จัดตั้งกรมการขนส่งทางราง ทำหน้าที่ดูแลมาตรฐานค่าโดยสาร ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบประชาชน แต่การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีสัมปทานหลายโครงการ ไม่มีกฎหมายบังคับใช้ จึงต้องใช้การเจรจาต่อรองเพียงอย่างเดียว ป้องกันความเสียหายที่เรียกว่า "ค่าโง่" ทำให้เกิดความล่าช้า เพราะต้องจัดทำกฎหมาย พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ขณะนี้แล้วเสร็จและเตรียมนำเสนอ ครม. ภายในกลางปี 2565 เพื่อใช้บัตรใบเดียว คิดค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียวทั้งระบบ

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม พัฒนาให้มีระบบฟีดเดอร์ทั้งระบบรถเมล์ EV และเรือ EV หรือการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยภายในปี 2565 จะหาผู้รับจ้างและให้บริการรถเมล์ดังกล่าวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเป็นการจัดหารถ 2,511 คัน จ้างเอกชนเดินรถ 1,500 คัน รวมทั้งแผนการเชื่อมต่อการเดินทางอีก 50 จุด

ไทย-ลาว ลงทุนสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 6

ส่วนการพัฒนารถไฟทางคู่ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เชื่อมโยงจากด้านตะวันออกสู่ตะวันตก เหนือสู่ใต้ และรองรับการขนส่งทางรางไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และการพัฒนาท่าเรือบกขณะนี้แผนแม่บทแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการศึกษาและจัดทำรายงานการร่วมทุนรัฐ-เอกชน

ขณะที่การเชื่อมโยงทางรถไฟระหว่างไทย-ลาว-จีน สถานการณ์ในปัจจุบันรถไฟของไทยเชื่อมต่อจีนและลาวได้อยู่แล้ว และมีการขนส่งสินค้าทุกวัน ส่วนข้อกังวลว่าไทยจะไม่สามารถเชื่อมต่อจีน-ลาวได้นั้น ขณะนี้ไม่มีปัญหา ยืนยันว่าจะรองรับปริมาณสินค้าได้มากกว่าปริมาณสินค้าที่จะนำส่ง แต่สถานการณ์ COVID-19 ทำให้ลาวยังไม่เปิดการเดินทางขนส่งคน ซึ่งมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เตรียมเปิด PPP นำภาคเอกชนมาดำเนินการ

ในระยะยาวจะมีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 1 ซึ่งใกล้สะพานแห่งที่ 1 ใน จ.หนองคาย รองรับการเดินทางโดยรถยนต์ รถบรรทุก และรถไฟ โดยได้ข้อตกลงว่าไทย-ลาวจะร่วมลงทุนค่าใช้จ่ายในอาณาเขตของแต่ละฝ่าย

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ได้นำนวัตกรรมมาใช้ในท่าอากาศยานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและดึงดูดการลงทุน ยกตัวอย่างเพิ่มขีดความสามารถรองรับท่าอากาศยานหลัก (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา) จาก 80 เป็น 120 ล้านคน/ปี, เพิ่มขีดความสามารถท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จาก 7 ล้านตู้/ปี เป็น 18 ล้านตู้/ปี, เพิ่มโครงข่ายรถไฟใน กทม.และปริมณฑล ให้ครบ 14 สายทาง 554 กม.

ปี 65 ลงทุนโครงการสำคัญ 1.4 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ รวมมูลค่าลงทุนโครงการสำคัญ กระทรวงคมนาคม ปี 2565 รวม 1.4 ล้านล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว วงเงิน 5.16 แสนล้านบาท และโครงการลงทุนใหม่ วงเงิน 9.74 แสนล้านบาท คาดว่าสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่า 2.24 ล้านล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.54 แสนตำแหน่ง จัดหาวัสดุก่อสร้าง-อุปกรณ์ 1.24 ล้านล้านบาท และได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาทต่อปี และ GDP เติบโตขึ้น 1-3%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.48 น. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะวิปฝ่ายค้าน ขอหารือประธานที่ประชุม เนื่องจากเห็นว่าเวลาในการอภิปรายของฝ่ายค้านยังเหลืออีก 7 ชั่วโมง ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลและรัฐมนตรี เหลือเวลาอีกเพียง 55 นาที ทำให้เกรงว่าเวลาจะไม่พอ ซึ่งหากไม่พอจะขอให้มีการอภิปรายต่อในเช้าวันที่ 19 ก.พ. อย่างไรก็ตามตัวแทนวิปฝ่ายรัฐบาล ก็เห็นด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง