จากกรณีชาวบ้านหมู่บ้านแกน้อยหย่อมบ้านถ้ำ และบ้านหนองเขียว ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จำนวนมากได้รับผลกระทบจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหลายฝ่ายเข้าปิดล้อมหมู่บ้าน และเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของชาวบ้าน โดยอาศัยเหตุแห่งการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่แนวชายแดน
ต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อวันที่ 27 ก.ค.64 มีมติหยิบยกกรณีดังกล่าวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิต และร่างกายและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับเสรีภาพในเคหสถาน ขึ้นมาเป็นเรื่องตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน
จากการแสวงหาข้อเท็จจริงพบว่า ในระหว่างวันที่ 15–16 ก.ค.64 เจ้าหน้าที่ทหารกองร้อยทหารม้าที่ 4 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 5 ได้ตรวจยึดยาเสพติดจำนวนมากในพื้นที่แนวชายแดนของอ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และตำรวจภูธรภาค 5 ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ปิดล้อม และตรวจค้นเป้าหมายยาเสพติดในพื้นที่ โดยให้จัดเก็บดีเอ็นเอของกลุ่มคนที่น่าสงสัยว่ากระทำความผิด และมีความเกี่ยวเนื่องกับคดียาเสพติด
ทั้งนี้ สถานีตำรวจภูธรนาหวาย จึงได้ปิดล้อม ตรวจค้นหมู่บ้านแกน้อยหย่อมบ้านถ้ำ และบ้านหนองเขียว ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีกลุ่มชาติพันธ์ลาหู่อาศัยอยู่ และเก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้ม เพื่อตรวจสารพันธุกรรมของชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านทั้ง 2 แห่ง จำนวน 51 คน
ภาพ : theactive
ไทม์ไลน์ปิดล้อมหมู่บ้านเก็บ DNA ชาวลาหู่
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ในวันที่ 22 ก.ค.64 เจ้าหน้าที่ทหารได้ปิดทางเข้าออกหมู่บ้านเพียงระยะเวลาชั่วขณะหนึ่ง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาหวาย ก็ไม่ได้เข้าไปตรวจค้นภายในบ้านพัก เพียงแต่เรียกให้ชาวบ้านออกมา และชาวบ้านได้ให้ความร่วมมือออกมารวมตัวกันที่ศาลาเอนกประสงค์ของหมู่บ้าน
ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐตรวจค้นหมู่บ้านในตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม กรณีการเก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้ม เพื่อตรวจสารพันธุกรรมของผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และมีเอกสารที่แสดงว่า ผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอม
จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการตรวจเก็บสารพันธุกรรม ไม่ทราบวัตถุประสงค์ในการตรวจเก็บ รวมถึงไม่ทราบว่าวิธีการดังกล่าวจะเป็นการพิสูจน์ตนเองว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลำเลียงยาเสพติด
การลงลายมือชื่อให้ความยินยอมเกิดจากการไม่ทราบข้อเท็จจริง เนื่องจากผู้เสียหายจำนวนหนึ่งอ่านหนังสือไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาหวาย อธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการตรวจเก็บตัวอย่างดีเอ็น เพียงแต่ขอความร่วมมือในการตรวจเก็บเท่านั้น
กสม.ชี้เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน
การขอความยินยอมจากผู้เสียหายเพื่อเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมในกรณีนี้ จึงยังไม่สอดคล้องกับหลักการให้ความยินยอมโดยอิสระ ซึ่งกำหนดให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีทางเลือกในการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้ข้อมูลส่วนใดบ้าง และการไม่ให้ข้อมูลในส่วนนั้นต้องไม่เกิดผลเสียแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ในชั้นนี้จึงเชื่อว่า ผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ที่ถูกตรวจเก็บสารตัวอย่างพันธุกรรมไม่ได้ให้ความยินยอมอย่างสมัครใจโดยอิสระและปราศ จากการอยู่ภายใต้อำนาจกดดันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ผู้เสียหายที่ถูกตรวจเก็บไม่กล้า ที่จะปฏิเสธบุคคลที่มีอำนาจเหนือกว่า จึงน่าจะอยู่ในภาวะที่จำต้องให้ความยินยอมในการถูกเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม
ดังนั้น จึงเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมของผู้เสียหายโดยไม่ชี้แจงวัตถุประสงค์ให้เข้าใจ และได้รับความยินยอมอย่างสมัครใจโดยอิสระ เป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิต และร่างกายของผู้เสียหายจนเกินสมควรแก่กรณี อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
พบมีเยาวชนต่ำกว่า 18 ปี 3 คน
นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ที่ถูกตรวจเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมที่ยังเป็นเด็กอายุยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ จำนวน 3 คนโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาหวายได้มีการดำเนินการใดๆ ที่คำนึงถึงสิทธิเด็กที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
รวมถึงมีมาตรการคุ้มครองทางกฎหมายที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นอันดับแรก เช่น การมีนักสังคมสงเคราะห์ หรือสหวิชาชีพเข้าร่วมในกระบวนการจัดเก็บด้วย ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาหวาย จึงเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม อันเป็นการละเมิดสิทธิเด็กอีกประการหนึ่ง
ทั้งนี้ กสม.เห็นว่า นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐจะจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมของชาวบ้าน โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกแล้วยังมีกระบวนการตรวจ และจัดเก็บข้อมูลผลการตรวจสารพันธุกรรมภายใต้นโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกด้วย และเมื่อนโยบายดังกล่าวมิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมาย การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงย่อมมีความเสี่ยงที่จะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และไม่สอดคล้องกับหลักความได้สัดส่วน อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา จึงมีข้อเสนอแนะมาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สรุปได้ดังนี้
ขอให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ในการแจ้งข้อมูล ที่จำเป็นให้แก่บุคคลที่จะต้องถูกเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม โดยต้องให้ผู้ที่จะถูกจัดเก็บให้ความยินยอมโดยสมัครใจ มิใช่การจำยอม รวมทั้งมีมาตรการพิเศษในการดำเนินการกับกลุ่มชาติพันธ์และเด็ก อาทิ การจัดให้มีล่ามภาษาท้องถิ่น และการมีนักสังคมสงเคราะห์ หรือสหวิชาชีพเข้าร่วมในกระบวนการจัดเก็บด้วย
รวมทั้งให้ทบทวนการดำเนินนโยบายภายใต้แผนปฏิบัติการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการเก็บและตรวจสารพันธุกรรมของบุคคลกลุ่มเสี่ยง และจากวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและคดีอาญาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บตรวจสารตัวอย่างพันธุกรรมของบุคคลจะต้องเป็นไปเท่าที่จำเป็น และอยู่ภายใต้ความยินยอมที่แท้จริงของผู้ถูกจัดเก็บ
ให้ทำลายข้อมูล DNA 2 หมู่บ้านออกจากฐานข้อมูล
สำหรับกรณีที่เข้าจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมของชาวบ้านที่หมู่บ้านแกน้อยหย่อมบ้านถ้ำ และหมู่บ้านหนองเขียวเมื่อวันที่ 22 ก.ค.64 ขอให้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 5 และศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 ประสานกับนายอำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ แจ้งผลการตรวจสารพันธุกรรมของผู้ที่ถูกตรวจเก็บตัวอย่างให้รับทราบ และเข้าใจผ่านผู้นำชุมชนของทั้งสองหมู่บ้าน ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีการยึดยาเสพติดจำนวนมากในพื้นที่อ.ฝาง จังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 15–16 ก.ค.64
พร้อมสั่งการให้ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 ลบหรือทำลายข้อมูลสารพันธุกรรมของชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านที่ถูกตรวจเก็บสารตัวอย่างพันธุกรรมออกจากฐานข้อมูล
นอกจากนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ติดตามการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเก็บ และตรวจสารพันธุกรรมของบุคคลของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณประจำปี โดยให้การดำเนินโครงการต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน ต้องแจ้งข้อมูลที่จำเป็นให้ผู้ที่จะต้องถูกเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมทราบ เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์ ขั้นตอนและวิธีการจัดเก็บ การนำไปใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องให้ผู้ที่จะถูกจัดเก็บให้ความยินยอมโดยสมัครใจ มิใช่การจำยอม รวมทั้งมีมาตรการพิเศษในการดำเนินการกรณีผู้ถูกจัดเก็บเป็นเด็กด้วย