วันนี้ (25 พ.ค.2565) นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงประสิทธิผลวัคซีนโควิด 19 จากการใช้จริงในช่วงการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนว่า การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพดีจริงเหมือนในต่างประเทศหรือไม่ และบางคนฉีด 3-4 เข็มแต่ยังติดเชื้อโควิดได้ ทั้งนี้คณะทำงานของ สธ.ได้ศึกษาข้อมูลช่วงเดือนม.ค.-มี.ค.นี้ ที่มีการะบาดของโอมิครอน จากกลุ่มผู้รับวัคซีนจากการใช้จริง 500,000 คนว่ามีโอกาสป่วยและเสียชีวิตมากน้อยแค่ไหน
นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า จากผลทั้ง 500,000 คนพบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มในช่วงมิครอน ป้องกันการติดเชื้อน้อยมาก และป้องกันป่วยหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ 75%
ชี้วัคซีน 3 เข็มป้องกันป่วยหนัก 93%
ส่วนการฉีด 3 เข็มป้องกันการติดเชื้อได้ 15% ป้องกันป่วยหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ 93% ซึ่งทุกสูตรป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตได้ ส่วนการฉีด 4 เข็มป้องกันได้ 76% ป้องกันป่วยหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ 96% และไม่พบผู้เสียชีวิตในกลุ่มที่ฉีดวัคซีน 4 เข็ม
ยังรณรงค์ให้ฉีดถึง 3 เข็มขึ้นไป เพราะจะเพิ่มประสิทธิภาพในการติดเชื้อ และป่วยหนัก ซึ่งช่วง 3 เดือนไม่พบว่าคนที่ฉีด 4 เข็มแล้วเสียชีวิต เป็นการยืนยันวัคซีนที่นำมาใช้ว่ามีประสิทธิผลสูง
นอกจากนี้ นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวอีกว่า หากจะเปิดประเทศ ไม่อยากเห็นสภาพคนป่วยหนักในโรงพยาบาล จึงควรต้องฉีด 3 เข็มขึ้นไป ไม่ว่าจะฉีดสูตรไหนครบ 3 เข็มประสิทธิผลดี ทั้งซิโนแวค –ซิโนแวค-แอสตราเซเนกา หรือแอสตราเซเนกา-แอสตราเซเนกา-ไฟเซอร์ มีประสิทธิผล ป้องกันป่วยรุนแรงไม่ต่างกัน
รณรงค์ฉีดเข็ม 3 พบยังเหลืออีก 60%
ถ้าจะใช้ชีวิตตามปกติ การเตรียมพร้อมประชาชนที่ร่มมือฉีด 3 เข็มให้ครบทุกคนมั่นใจว่ากลับเข้าชีวิตปกติตั้งแต่ 1 ก.ค.นี้จะไม่เผชิญคนป่วยรุนแรง ตอนนี้มีผู้สูงอายุฉีดเข็ม 3 เพียง 43% หรืออีก เหลืออีก 6 ล้านคน ส่วนคนทั่วไปแค่ 40% ยังเหลืออีกจำนวนมาก
ทั้งนี้ นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวอีกว่า เราอยู่กับโควิดยาวนาน 3 ปีเรากำลังเข้าสู่การเป็นระยะหลังการระบาดทั่วโลกต้องอยู่กับโควิด และไม่สามรถกำจัดโรคนี้ออกไปและต้องการจัดการแบบโรคประจำถิ่นได้
ส่วนใหญ่ยังกังวลผลข้างเคียง
นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ส่วนหนึ่งคิดว่าฉีด 2 เข็มเพียงพอแล้ว อีกส่วนกังวลผลข้างเคียง ซึ่งผลการศึกษาพบว่าวัคซีน 2 เข็มไม่เพียงพอ ส่วนเรื่องผลข้างเคียง ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง เช่น ไข้ ปวดเมื่อย
ยืนยันว่าวัคซีนทุกสูตรที่ประเทศไทยใช้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิผลป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ ส่วนเรื่องการเตรียมปรับคำแนะนำการสวมหน้ากากอนามัยนั้น เนื่องจากมีทิศทางที่จะผ่อนคลายเพื่อเข้าสู่การใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติมากขึ้น จึงจะเริ่มมีการปรับลดมาตรการ โดยเฉพาะมาตรการส่วนบุคคล เช่น การสวมหน้ากากอนามัย อาจจะเริ่มปรับในพื้นที่ที่มีความพร้อมก่อน โดยต้องพิจารณา
จากสถานการณ์การระบาดที่ลดลง ประชาชนรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเกิน 60-70% และพิจารณาเป็นบางสถานที่ก่อน เช่น สถานที่เปิดโล่ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังคงเน้นการป้องกันในกลุ่มเสี่ยง 608 และป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดใหญ่
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เช็กจังหวัดนำร่องถอดแมสก์ คาดกลุ่มสีฟ้า-เขียว นำร่อง 31 จังหวัด
สธ.ยืนยันไทยยังไม่พบ "ฝีดาษลิง" เฝ้าระวังคนมาจากประเทศระบาด