วันนี้ (23 ก.ค.2565) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ “Economic Turbulence 2022 เศรษฐกิจ วิกฤตซ้อนวิกฤตต้องรับมืออย่างไร” ระหว่างการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) ปี 2565 ว่า ปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงในหลายด้าน
ถือเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต ที่แต่ละประเทศต้องเตรียมการรับมือคือ วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิกฤตราคาพลังงานและอาหารโลก ความปั่นป่วนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
ขณะที่การเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น จนเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ตามมาทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ
รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ และปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่มีสัญญาณการชะลอตัว โดยวิกฤตเศรษฐกิจในระดับโลกที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในช่วง 1–2 ปีข้างหน้าโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะชะลอตัวลงจากเดิมที่เคยขยายตัวได้ในระดับ 20 % ในปี 2564
คาดท่องเที่ยวตัวฉุดฟื้นเศรษฐกิจ
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้อานิสงค์ จากการฟื้นตัวในส่วนของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงต้นปี 2566 จะเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเดือนละประมาณ 1 ล้านคน
ภาพรวมจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทยในประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากมีสัดส่วน 10 % ของจีดีพี
ดังนั้นเมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัว และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวม จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าภายในปีนี้ จะมีการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25 % เป็นจำนวน 3 ครั้ง
คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.75% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.5 % ในปัจจุบันเป็น 1.25 %
โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และช่วยชะลอการลดลงของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงจากระดับ 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มาสู่ระดับ 2.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลงประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา
ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่แบงก์ชาติ ต้องจับตาดู เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องการปรับอัตราดอก เบี้ย เงินเฟ้อในส่วนที่เป็นเงินเฟ้อรวมในเดือนมิ.ย.ของไทยอยู่ที่ 7.66 % แต่ส่วนที่เป็นเงินเฟ้อทั่วไป ของไทยอยู่ที่ 2.58 % ถือว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงนัก
ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติอีก 0.75 % เพื่อให้ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ระดับ 1.25 % ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 คาดว่าเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากนั้นก็จะต้องดูปัจจัยอื่นๆทั้งในและต่างประเทศ แต่คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะ
ในส่วนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดที่เคยขึ้นไปถึง 130-140 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรลมาอยู่ในระดับ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล เนื่องจากขณะนี้บางประเทศได้มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย
รวมทั้งมีความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจถดถอย และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง การปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยการเก็งกำไรลดลงไป ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงก็ส่งผลดีต่อระดับเงินเฟ้อที่ลดลง และช่วยให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อของเฟดและธนาคารกลางทั่วโลกง่ายขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
คาดการณ์วิกฤตซ้อนวิกฤติยาว 2 ปี
นอกจากนี้ นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงเวลาที่มีวิกฤตซ้อนวิกฤตเกิดขึ้นในรอบนี้จะกินระยะเวลาประมาณ 2 ปี และมีช่วงเวลาในการเผชิญกับวิกฤตรวมทั้งต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งเป็น 4 ช่วงด้วยกัน ได้แก่ช่วงแรกเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงมีการปรับฐานที่รุนแรง
ช่วงที่ 2 คือการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเกิดวิกฤตในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ และช่วงที่ 4 เป็นช่วงสุดท้ายที่กำลังจะผ่านวิกฤตเศรษฐกิจคือเป็นช่วงที่เฟด และธนาคารกลางประเทศต่างๆ ออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
สำหรับโอกาสของไทย ภาครัฐสามารถที่จะสนับสนุนการลงทุนในหลายด้านเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ ภาคเกษตรและอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมปุ๋ยเพื่อทดแทนการนำเข้า เป็นต้น
ส่วนในแง่ของประชาชน หรือนักลงทุนบุคคลทั่วไปต้องติดตามข่าวสารและประเมินสถานการณ์ในแต่ละช่วงของวิกฤต หากสามารถประเมินได้อย่างถูกต้องก็สามารถที่จะเก็บออมเงินสดบางส่วนไว้ เพื่อรอการลงทุนในรอบใหม่ ภายหลังจากที่วิกฤตต่างๆ เริ่มคลี่คลาย ซึ่งการลงทุนในช่วงหลังวิกฤตถือว่าเป็นการลงทุนในช่วงเวลาที่ดีที่มีโอกาสสดใสในอนาคตรออยู่