วันนี้ (6 ก.ย. 2565) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าสถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้ป่วยอาการหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจ รวมถึงผู้เสียชีวิต เริ่มมีแนวโน้มค่อยๆ ลดลง ประชาชนส่วนใหญ่ มีภูมิต้านทานเกิดขึ้น
จากผลการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 (ข้อมูลวันที่ 5 ก.ย. 2565) มีการฉีดวัคซีนแล้ว 142,891,943 โดส มีประชาชนที่ฉีดครบ 2 เข็ม 53,744,479 คน คิดเป็น 77.3 % และฉีดเข็มที่ 3 ขึ้นไป 31,876,008 คน คิดเป็น 45.8%
ขณะนี้มีวัคซีนเพียงพอ เข้าถึงการฉีดได้ง่าย อยากเชิญชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยง และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรังให้มาฉีดเข็มกระตุ้น เพราะเมื่อฉีดวัคซีนไปสักระยะหนึ่ง ภูมิคุ้มกันจะลดลงตามธรรมชาติ การฉีดเข็มกระตุ้นจะเป็นปัจจัยสำคัญช่วยลดการป่วยอาการหนักและเสียชีวิตได้ หากฉีดเข็มล่าสุดมากกว่า 3-4 เดือนขึ้นไปสามารถไปฉีดเข็มกระตุ้นได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
นพ.โอภาส กล่าวว่า คณะทำงานศูนย์ประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลวัคซีนกรมควบคุมโรค ร่วมกับคณะทำงานวิชาการ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข ได้ติดตามประเมินประสิทธิผลวัคซีนโควิด-19 จากการใช้จริงในประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง
ชี้วัคซีนเข็มกระตุ้นลดเจ็บป่วยเสียชีวิตได้ 80%
ผลของการใช้จริง ช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. 2565 ที่เป็นการระบาดของโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 พบว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น จะเพิ่มประสิทธิผลในการป้องกันการป่วยรุนแรง คือ อาการปอดอักเสบ และใส่ท่อช่วยหายใจ จาก 60% ในผู้ที่ได้รับครบ 2 เข็ม เป็น 83% และ 100% ในผู้ที่ได้รับครบ 3 เข็มและ 4 นอกจากนี้ป้องกันการเสียชีวิตจาก 72% ในผู้ที่ได้รับครบ 2 เข็มเป็น 93% และ 100% ในผู้ที่ได้รับครบ 3 เข็ม และ 4 เข็ม
สำหรับกลุ่มสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ป้องกันปอดอักเสบใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มได้ 80% ต่ำกว่ากลุ่มอายุ 18-59 ปี ที่ป้องกันได้ 89% แต่จะเพิ่มเป็น 100% เมื่อได้รับครบ 4 เข็มทั้ง 2 กลุ่มอายุ โดยการฉีดวัคซีนกระตุ้น 3 เข็มขึ้นไปจะมีประสิทธิผลในการป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตในระดับสูงกว่า 80% ได้นานถึง 6 เดือน
นพ.โอภาส กล่าวว่า แม้จะฉีดเข็มกระตุ้นแล้ว ก็ยังสามารถติดเชื้อได้ แต่จะไม่ป่วยหนักหรือเสียชีวิต การควบคุมโรคต้องดำเนินการอย่างสมดุล ทั้งมาตรการวัคซีน ที่เร่งรัดฉีดเข็มกระตุ้นในประชากรเป้าหมายให้ครอบคลุมสูงสุด